Last updated: 4 พ.ย. 2562 | 4272 จำนวนผู้เข้าชม |
จะมีรถยนต์สปอร์ตคาร์สักกี่คันที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 56 ปี ชื่อของปอร์เช่ 911 คือหนึ่งในสุดยอดรถยนต์สปอร์ตคาร์จากเมืองสตุ๊ดการ์ด ที่มีแฟนๆจงรักภักดีอยู่ทั่วทุกมุมโลก จนมาถึงล่าสุดกับการเปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 8 ในรหัสตัวถัง 992 ที่ผมได้มีโอกาสมาทดสอบ กวาดสายตาเพียงแว็บเดียว มันยังคงมีหลายมุมที่คล้าย 991 อยู่แต่ถูกขัดเกลาให้ดูล้ำนำสมัยในทุกรายละเอียด มันดูเซ็กซี่และดูมีสไตล์ขึ้น
อนุกรม 911 ถูกให้กำเนิดมาโลดแล่นบนโลกตั้งแต่ปี 1963 ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์ flat 6 ระบายความร้อนด้วยอากาศ มันถูกพัฒนาแบบมีลำดับขั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ที่สำคัญ 911 ยังคงความเก๋า ยึดมั่นวางเครื่องที่ท้ายรถ ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนอนยัน (flat 6) ไม่แปรเปลี่ยน ที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ แม้ว่าจะเป็นความกล้าและบ้าพอที่จะลบคำสบประมาทจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการวางเครื่องยนต์ไว้ที่ท้ายรถ เพราะมันฝืนกฎฟิสิกส์ก็ตาม และวิศวกรของปอร์เช่ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันเจ๋งขนาดไหน ด้วยการวิ่งทำเวลาทำสถิติได้ยอดเยี่ยมที่สนามนูเบิร์กริง
และรุ่นล่าสุดนี้ยังเพิ่มความเร้าใจให้แฟนๆต้องร้อง “อื้อหือ” ด้วยการยกเลิกใช้ตัวถังแคบไปเลย จัดหนักให้รุ่นขับ 2 ล้อได้ตัวถังโป่งใหญ่ ขยายความกว้างที่โป่งหน้าหลัง 45 มม. ดูบึกบึน และใหญ่พอที่จะยัดแม็กขนาดเขื่องหน้า 20” หลัง 21” ไซส์ใกล้เคียงกับ 911 GT3 RS เลยนะ! หล่อสาด!!
มาภายในกันบ้าง 992 ได้ปฎิวัติการตกแต่งภายในแบบใหม่หมดไม่เหมือนของ 991 ไว้แม้แต่น้อย เริ่มตั้งแต่หน้าปัด Instrument Cluster ที่ดีไซน์ใหม่หมดจด วางหน้าปัดวัดรอบเครื่องที่ยังคงอนุรักษ์ไว้แบบอนาล๊อกไว้ตำแหน่งตรงกลางโอบล้อมซ้าย-ขวาด้วยแผงจอดิจิตอลบอกข้อมูลความเร็วที่ใช้ แผนที่เนวิเกชั่น อุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์ อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง แรงดันน้ำมันเครื่อง
แต่ที่แปลกตาแบบไม่คุ้นชิน คือหัวเกียร์ที่เปลี่ยนจากด้ามเกียร์สวยๆที่เราคุ้นเคย ไปเป็น “เดือยเกียร์” อันจิ๋ว เอาน่าใช้ๆไปเดี๋ยวก็ชิน เหตุผลที่เปลี่ยนมาใช้เดือยจิ๋วอาจเป็นเพราะเตรียมออกแบบเผื่อเอาไว้ใช้ในรถ Taycan รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าล้วนคันแรกของค่ายที่จะเปิดตัวภายในปีนี้
ด้านขุมพลังยังคงยึดมั่นกับเครื่องยนต์ 6 สูบนอนยัน (flat 6) 3.0 ลิตร พ่วงทวินเทอร์โบแต่ถูกอัพเกรดใช้เทอร์โบตัวใหม่ 9A2evo Turbocharger ที่ให้อัตราบูสท์ที่หนักหน่วงและให้แรงม้าและแรงบิดในรอบกว้างกว่าเดิมที่ใช้ในตัว 991.2 นอกจากนี้ยังปรับแต่งหัวฉีดใหม่เพิ่มแรงดันสูงถึง 200 บาร์ เปลี่ยนการวางท่อทางเดินเทอร์โบและระบบหล่อเย็นใหม่หมด เพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดจาก 10:1 เป็น 10.2:1 ให้แรงบิดเพิ่มขึ้นจาก 500 NM ไปเป็น 530 NM ที่รอบเครื่อง 2,300-5,000 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลังอัพเกรดมาใช้เกียร์คลัตช์คู่ลูกใหม่แบบ 8 สปีดแทน 7 สปีดลูกเดิม โดยอัตราทดเกียร์ที่เกียร์ 7 และ 8 เป็นแบบโอเวอร์ไดร์ฟเพื่อเน้นการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ปล่อยให้เกียร์ 6 คือเกียร์สูงสุดเพื่อทำความเร็วท๊อปสปีดระดับ 308 กม./ซม.
แต่ที่น่าสนใจคือเสื้อเกียร์ PDK ลูกใหม่นี้ มีขนาดใหญ่เกินกว่าแค่จะยัดเฟืองเกียร์ทั้ง 8 แต่มีพื้นที่เผื่อไว้ให้ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่คาดกันว่าจะถูกนำมาติดตั้งเพิ่มในรุ่น 992 Hybrid ที่เราจะได้เห็นกัน (อีกพักใหญ่) ช่วงปรับโฉมกลางอายุขัยของมันนั้นเอง
ด้านโครงสร้างของชัชซีตัวถัง 992 หันมาใช้อลูมิเนียมมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยตัวเลข 63% เทียบกับ 30% ของ 991 แต่มันแอบน่าผิดหวังไม่น้อยเพราะแม้จะใช้อลูมิเนียมมากขึ้นแต่กลับมีน้ำหนักมากกว่าเดิมถึง 55 กก. ในตัว 992 Carrera S แต่เราอย่าลืมว่าบอดี้มันกว้างขึ้นโป่งใหญ่ขึ้น จริงๆแล้วควรเอามาเทียบกับ Carrera GTS ถึงจะแฟร์กว่า แต่ปรากฏว่า 992 ก็ยังคงหนักกว่าอยู่ดีที่ 45 กก.
992 Carrera S 1,515 กก.
991 Carrera S 1,460 กก.
991 Carrera GTS 1,470 กก.
จากน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากกว่าเจนก่อน จะเห็นได้ชัดเจนว่าสาเหตุหลักมาจากการใช้แม็กและยางขนาดใหญ่หน้ากว้างขึ้น ใช้จานเบรกขนาดใหญ่ขึ้นอีก เพิ่มจาก 330มม. ไปเป็น 350มม. แล้วอย่าลืมอีกว่ายังมีระบบสร้างแรงกดอากาศแบบแปรผันทั้งด้านหน้า-หลังเพิ่มมาอีก และเสื้อเกียร์ PDK 8 สปีดที่มีขนาดใหญ่แบกน้ำหนักตัวมากกว่าเดิม แถมยังมีการติดตั้งระบบตัวช่วยต่างๆมากมายเพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งผมได้แต่หวังว่าสิ่งต่างๆที่ยัดเยียดเข้าไปจะช่วยให้มันขับได้ดีไม่เสียชื่อ 911
“ระบบแอร์โรไดนามิกแบบแปรผัน”
เมื่อวิเคราะห์การทำงานของระบบแอร์โรไดนามิกใหม่ มันคือตัวช่วยสำคัญเพื่อสร้างแรงกดอากาศที่เพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัวได้สมบูรณ์แบบในแต่ละโหมดการขับขี่ 992 มีสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่มาก เรียกได้ว่าแทบจะทั้งฝาหลังทั้งชิ้น สามารถยกตัวได้ 3 ระดับ เพื่อสร้างสมดุลให้แรงกดอากาศในสภาวะการณ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีครีบบังคับอากาศที่ทำงานเปิด-ปิด อัตโนมัติ เพื่อทำหน้าที่ระบายความร้อนแผงออยคูลเลอร์ ลดอาการต้านลม และในหน้าที่ตรงกันข้ามสามารถสร้างแรงกดอากาศได้อีกด้วย
ขณะที่เร่งความเร็วถึง 90 กม./ชม. สปอยเลอร์หลังจะยังคงปิดสนิทอยู่ แต่เมื่อความเร็วเกิน 90 กม./ชม.ขึ้นไปเมื่อไหร่ ในภาวะที่ใช้โหมดการขับขี่แบบ Normal มันจะเริ่มสั่งให้สปอยเลอร์หลังยกตัวขึ้นเล็กน้อยในตำแหน่ง “Eco Position” เพื่อลดแรงเสียดทานและจะค้างอยู่อย่างนั้นจนถึง 150 กม./ชม. หากเร่งความเร็วเพิ่มจากนั้นไป สปอยเลอร์หลังจะยกตัวสูงขึ้นสู่ตำแหน่ง “Performance Position” เพื่อสร้างแรงกดอากาศสูงสุดเพื่อสร้างแรงยึดเกาะเวลาทำความเร็วสูง
แต่หากอยู่ในโหมด Sport หรือ Sport Plus ระบบจะสั่งให้สปอยเลอร์หลังยกตัวสูงสุดในท่า “Performance Position” เลย ตั้งแต่ความเร็วเกิน 90 กม./ชม.ขึ้นไป ในบางกรณีที่อัดรถมานานๆจนความร้อนเครื่องสูงขึ้น ระบบจะสั่งให้ยกตัวสูงสุด ตั้งแต่ความเร็วที่ 60 กม./ชม. เพราะจะช่วยระบายความร้อนห้องเครื่องได้ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ในกรณีที่ขับเปิด Sunroof ที่ความเร็วเกิน 90 กม./ชม. ระบบจะสั่งให้สปอยเลอร์หลังยกตัวสูงสุดด้วยเช่นกัน
มาดูการทำงานของครีบเปิด-ปิดที่กันชนหน้า ที่คอยทำหน้าที่เป็นระบบสร้างแรงกดอากาศแปรผันเช่นกันในโหมด Normal ครีบจะปิดสนิท ตั้งแต่ความเร็ว 70 กม./ชม. ถึง 150 กม./ชม. หลังจาก 150 กม./ชม. ขึ้นไปครีบจะเปิดออกทีละน้อยจนเปิดสุดที่ความเร็ว 170 กม./ชม. หากในกรณีขับรถเปิดหลังคา Sunroof ครีบจะเปิดก่อนตั้งแต่ความเร็วที่ 120 กม./ชม. เพื่อบรรเทาการกระจัดกระจายของแรงลม แต่ถ้าอยู่ในโหมด Sport หรือ Sport Plus ครีบจะกางเปิดออกตลอดเวลาเพื่อช่วยลดอุณหภูมิออยคูลเลอร์แบบเต็มที่ และที่สำคัญช่วยสร้างแรงกดอากาศที่ด้านหน้าสูงสุด
และนับเป็นครั้งแรกของโลก! ที่ปอร์เช่นำเสนอโหมดการขับขี่บนสภาพถนนเปียกลื่นโดยเฉพาะ “Wet Mode”ระบบนี้จะคอยตรวจสอบลักษณะของเสียงน้ำที่กระเซ็นอยู่ในอุโมงค์ล้อรถเพื่อสั่งการให้ระบบควบคุมการทรงตัวทำงานทันทีเพื่อรับมือกับสภาวะถนนเปียกลื่นได้อย่างปลอดภัย ต่อมาระบบจะขึ้นไฟเตือนให้คนขับเปลี่ยนเป็น Wet Mode เพื่อให้ระบบควบคุมการทรงตัวทำงานเต็มประสิทธิภาพมันจะคอยเข้าควบคุมคันเร่ง และคอยตัดกำลังจากเครื่องยนต์เมื่อตรวจพบว่ารถเกิดอาการลื่นไถลมากจนอาจเกิดอันตราย อย่างที่หลายๆคนหวาดกลัวเวลาขับรถบนความเร็วสูงในสภาวะฝนตกหนัก ถนนเปียกลื่นมักเกิดอาการ “เหินน้ำ” (Aquaplaning) คือขับมาเร็วเกินไปจนหน้ายางรีดน้ำออกไม่ทัน ทำให้รถลอยบนผิวน้ำ เป็นสาเหตุให้ควบคุมรถไม่ได้แล้วจะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงในที่สุด ซึ่ง Wet Mode สามารถรับมือกับอาการเหินน้ำได้ ด้วยการเพิ่มแรงยึดเกาะถนนในภาวะถนนเปียกลื่นได้ด้วยการสั่งให้สปอยเลอร์ท้ายยกตัวสูงสุดในตำแหน่ง “Performance Position” และสั่งให้ครีบหน้าเปิดออกสุดตั้งแต่ความเร็วระดับ 90 กม./ชม. ขึ้นไป เพื่อสร้างแรงกดอากาศสูงสุดไปที่ล้อหน้าและล้อหลังเพื่อให้ล้อไม่เหินน้ำ มีแรงกดสูงที่หน้ายางให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากนี้ยังได้ระบบตัวช่วยพี่เลี้ยงที่คอยเข้าช่วยเหลือคนขับอีกหลายระบบ เริ่มจากระบบ Brake Assist accident mitigation system หรือแปลไทยง่ายๆก็คือระบบช่วยเบรกในภาวะฉุกเฉิน มีหลักการทำงานเริ่มจากสเตจที่ 1 มันจะคอยเตือนด้วยภาพกราฟฟิกขึ้นที่หน้าจอพร้อมๆส่งเสียงสัญญานเตือนว่าควรเบรกกะทันหันเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุข้างหน้า สเตจที่ 2 ระบบจะสั่งการให้รถเบรกอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบว่าคนขับตอบสนองเบรกช้าเกินไป แต่หากคนขับเฉื่อยขนาดไม่น่าจะเบรกได้ทันท่วงทีระบบจะเบรกเต็มแรงให้ทันที นอกจากนี้ยังมีพี่เลี้ยงอีกเพียบที่คอยช่วยเหลือในหน้าที่ต่างๆ อาทิ Lane Keep active cruise control และระบบ Lane-change assist แต่ไม่ลืมที่จะใช้ฟีเจอร์ติดตั้งระบบเชื่อมต่อ เพื่อการสื่อสารและความบันเทิงสมบูรณ์แบบที่ง่ายด้วยไม่กี่คลิ๊ก ทั้งระบบ iOS และ Android แต่ที่เด็ดและถูกใจผมและนักขับรถคนอื่นๆมากคือแอป Porsche Track Precision ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยปอร์เช่เอง มันเจ๋งมากเพราะแอปตัวนี้สามารถโชว์กราฟฟิกค่าการขับขี่ น้ำหนักคันเร่งที่ใช้ น้ำหนักเบรกที่เบรก องศาเลี้ยวของพวงมาลัย จับเวลาต่อรอบให้ และความเร็วที่ใช้แสดงผลขึ้นบนมือถือของคุณ
มาดูพวงมาลัยที่ถูกออกแบบใหม่หมดกันบ้าง ผมมองว่ามันไม่ดูสวยน่าดึงดูดมากเท่าไหร่ แต่ปุ่มเลือกการขับขี่แบบใหม่ที่ใช้งานแบบลูกกลิ้ง (ต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็น Option เสริมที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Sport Chrono package ด้วย) แค่หมุนๆไปแล้วคอยสังเกตที่หน้าจอเพื่อเลือกโหมดการขับขี่มีให้เลือกตามนี้ Normal ,Wet ,Sport และ Sport Plus แต่ถ้ากดปุ่มลงไปจะเป็นการใช้ฟังค์ชั่นโอเวอร์บูสท์ (Sport response) ให้ 20 วินาทีเหมือนใน 991.2 ลองออกตัวในโหมด Launch Control สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.5 วินาที เทียบกับการออกตัวธรรมดา 3.7 วินาที นับได้ว่าแรงและเร็วมากๆ และถือเป็นครั้งแรกในอนุกรม 911 รุ่นธรรมดาที่ไม่ใช่รุ่น GT ที่สามารถทำอัตราเร่งได้เร็วขนาดนี้ !
ผมประทับใจกับความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถัง ที่ให้การตอบสนองดีเยี่ยม เข้าโค้งแรงๆตัวรถให้ฟีดแบกที่มั่นใจสูง ช่วงล่างหนึบแน่น แม้ว่าจะใส่ยางต่างขนาดโอเวอร์ไซส์ 20/21นิ้ว ที่ด้านหน้าและหลังตามลำดับ แต่ขับแล้วกลับรู้สึกว่า ขับสบายไม่กระด้าง คงต้องยกเครดิตให้ยางสมรรถนะสูงระดับเทพ Pirelli P-Zero ด้วย การตอบสนองของพวงมาลัยเต็มไปด้วยความแม่นยำสูงมาก ให้ฟีดแบกส่งผ่านมือได้ยอดเยี่ยมตัวหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นพวงมาลัยของ 911 GT3 โดยปอร์เช่เคลมไว้ว่าพวงมาลัย 992 ไวขึ้น 11% เมื่อเทียบกับ 991.2
และขอบอกเลยว่าถ้าใครสั่งติดตั้งระบบเลี้ยวล้อหลัง (Rear wheel steering) ถือว่าคุณได้ลงทุนคุ้มค่าแล้ว เพราะทำให้เลี้ยวได้คมขึ้นเยอะโดยไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนเปลี่ยนสปริงที่แข็งขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งนั้นจะทำให้ช่วงล่างแข็งกระด้างโดยไม่จำเป็น แต่หากสั่งติดตั้งระบบช่วงล่าง PASM มาด้วยนั่นยิ่งเจ๋งเลย เพราะระบบจะคอยปรับโช๊คให้แข็งขึ้นในกรณีที่เหมาะสมเท่านั้น แปลว่าเราได้ช่วงล่าง 2 บุคคลิก นุ่มหนึบนั่งสบายกดคันเร่งยาวๆในโหมด Normal และแข็งกระชับไดนามิกเวลาเล่นหนักๆในสนามหรือขับลัดเลาะไปบนเส้นทางคดเคี้ยวบนเขา ส่วนตัวผมคิดว่าในโหมด Sport เซ็ตความหนึบแข็งของช่วงล่างมาเฟิร์มไปหน่อยเวลาขับเร็วๆบนถนน Autobahn ที่เยอรมนีเพราะถนนยังไม่เรียบขนาดสมูททั้งเส้น โดยเฉพาะเวลากดคันเร่งสู่ความเร็วระดับ 200 กม./ชม. ขึ้นไปจะมีอาการบั้มกระเทือนชัดเจน จริงๆผมว่าโหมด Normal ลงตัวกว่า นุ่มนวลขับสบายกว่า แม้จะขับเร็วๆบนถนน Autobahn ก็รับมือได้สบายแล้ว ส่วนโหมด Sport และ Sport Plus อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นมันเหมาะกับถนนในสนามแข่งที่มีผิวเรียบไม่เน้นทำความเร็วสูงมาก หรือท๊อปสปีด แต่เน้นโค้งเยอะๆมากกว่า ดังนั้นการเซ็ตช่วงล่างให้แข็งเฟิร์มกระชับจะช่วยให้รถเข้าโค้งหนักๆได้มั่นใจกว่า มีบอดี้โรลน้อยกว่า
ผมยังประทับใจกับเครื่องยนต์บล็อกใหม่นี้มาก เพราะสามารถเอาชนะขุมพลัง 3.8 ลิตร Twin Turbo 480 แรงม้าของ 997.1 Turbo ในทุกๆด้าน เพราะมันตอบสนองแรงม้าและแรงบิดในทุกๆรอบเครื่องได้ไวและต่อเนื่องกว่า อาการ Turbo lag หายไปหมดสิ้น เรียกอัตราเร่งได้ตามเท้า ทำให้คุณคิดว่ากำลังขับรถเครื่องยนต์ NA แรงๆอยู่ประมาณนั้น!
ผมขอสรุปสั้นๆว่า 992 Carrera S มันคือ GTS เวอร์ชั่นของ 991.2 ที่ให้พละกำลังและสมรรถณะที่เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกันเลย นับเป็น 911 รุ่นเริ่มต้นที่น่านับถือเทียบเท่า 911 GTS เป็นรถยนต์โปรดักชั่นที่ไม่ใช่สายพันธุ์ Motosport GT ของปอร์เช่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยผลิตมาที่สามารถซื้อเป็นเจ้าของได้ในราคา Carrera S
Porsche 992 Carrera S specification
เครื่องยนต์ : 6 สูบนอนยันทวินเทอร์โบ 2,981 ซีซี 24 วาล์ว
กำลังสูงสุด : 450 hp @ 6,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด : 530 Nm @ 2,300-5,000 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลัง : คลัตช์คู่ 8 สปีด (PDK)
0-100 กม./ชม. : 3.7 วินาที (ใช้ Launch Control 3.5วินาที)
ความเร็วสูงสุด : 308 กม./ชม.
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน : 8.9 ลิตร/100 กม.