Maserati Biturbo Shamal Restomod เพิ่มสไตล์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Shamal ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 สมัยใหม่ มีแผนการผลิตจำนวน 33 คัน โดยเริ่มต้นที่ราคา 585,000 ยูโร (ประมาณ 21 ล้านบาทไทย!)

Modena Automobili ได้เปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ที่ชื่อว่า Maserati Biturbo Shamal Restomod ซึ่งเป็นการนำรุ่น Biturbo มาปรับปรุงใหม่ โดยเพิ่มสไตล์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Shamal และติดตั้งเครื่องยนต์ V6 สมัยใหม่ รถยนต์รุ่นนี้มีแผนการผลิตจำนวน 33 คัน โดยเริ่มต้นที่ราคา 585,000 ยูโร (638,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

Maserati แม้จะเผชิญกับความท้าทายภายใต้กลุ่ม Stellantis แต่ชื่อเสียงของมันยังคงเป็นที่นับถือในวงการรถยนต์ ซึ่ง Modena Automobili ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ Maserati เอาไว้ด้วยการออกแบบที่โดดเด่นและเสริมสมรรถนะที่ทันสมัย โดยโปรเจกต์นี้ใช้พื้นฐานจาก Biturbo แต่มีการปรับเปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์และชิ้นส่วนภายใน รวมถึงการติดตั้งเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่จาก Maserati Ghibli S ที่ให้กำลังสูงถึง 493 แรงม้า (368 กิโลวัตต์) และแรงบิด 550 นิวตันเมตร

Maserati Biturbo Shamal Restomod ใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดจาก ZF และสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. (0-62 ไมล์/ชม.) ได้ในเวลาเพียง 4.9 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดถึง 290 กม./ชม. (180 ไมล์/ชม.) ซึ่งสูงกว่ารุ่น Biturbo และ Shamal เดิม

โครงสร้างของ Biturbo ได้รับการเสริมความแข็งแรงด้วยคาร์บอนไฟเบอร์และแผ่นวัสดุแบบแซนด์วิช ในขณะที่ระบบกันสะเทือนได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ใช้ส่วนประกอบแบบ MacPherson ที่ด้านหน้าและแบบ semi-trailing arm ที่ด้านหลัง ระบบเบรกได้รับการอัปเกรดเป็นดิสก์ระบายความร้อนพร้อมคาลิปเปอร์ Brembo โดยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วที่ใหญ่ขึ้นติดตั้งยาง Pirelli P Zero

การออกแบบภายนอกมีการปรับเปลี่ยนแทบทุกส่วน รวมถึงการขยายส่วนฟender และการออกแบบที่โดดเด่นบนหลังคา โดยมีคอลัมน์กลางสีดำที่ทำหน้าที่เป็นโรลบาร์ ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Shamal ส่วนด้านหน้ามีการออกแบบกระจังหน้าขนาดใหญ่และไฟหน้า LED ใหม่ในกรอบคาร์บอนไฟเบอร์

แม้ว่าจะไม่มีภาพของห้องโดยสาร แต่ Modena Automobili รับประกันว่าจะมีการปรับปรุงที่มุ่งเน้นไปที่ความหรูหราและความสามารถในการปรับแต่ง โดยจะมีเบาะ Recaro Classic LX ใหม่และระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยรวมถึงหน้าจอแสดงข้อมูลดิจิตอลและระบบข้อมูลบันเทิง

ในตอนนี้ Modena Automobili ได้เริ่มรับคำสั่งซื้อแล้ว โดยคาดว่าจะมีระยะเวลาการส่งมอบระหว่าง 8 ถึง 10 เดือน และรถยนต์รุ่นแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2025