Last updated: 4 พ.ย. 2562 | 2755 จำนวนผู้เข้าชม |
ขอสารภาพรักกันบรรทัดแรกแบบแมนๆว่า ผมหลงรัก 992 ใหม่แบบยอมเป็นติ่งวิ่งไล่ตามไม่ต่างกับสาวก BNK48 ยิ่งได้รับเชิญให้ไปร่วมขับทดสอบที่ประเทศนิวซีแลนด์ด้วยแล้ว เชรดด! เก็บกระเป๋ารอสิครับ!!
พอมาถึงแดนคนเลี้ยงแกะ อย่างที่หลายคนกล่าวว่าประเทศนี้วิวโคตรสวย คนน้อยกว่าแกะ อากาศเย็นสบายกำลังดีที่ 14 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน ยิ่งทำให้ทริปนี้มีความสุขเป็นทวีคูณ เส้นทางที่ผมและเพื่อนๆสื่อมวลชนจากไทยจะได้ขับทดสอบ เริ่มต้นจากโอ๊คแลนด์มุ่งหน้าสู่ทางเหนือของประเทศที่ประกอบไปด้วยไฮเวย์สลับกับถนนชนบท มีเส้นทางสวยสุดๆถูกโอบล้อมด้วยทัศนียภาพที่สวยงามตลอดสองข้างทาง ผมขออาสาเป็นคนเปิดเกมส์ ขับ 992 Carrera 4S ต้องขออธิบายนิดนึงว่า 911 เจนใหม่นี้ (ถือเป็นเจนที่8) ใช้ตัวถังแบบ Wide Body ทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าคุณจะเลือกซื้อตัวขับเคลื่อน 2 ล้อหรือ 4 ล้อก็ตาม ถือว่าเป็นจุดแตกต่างจากทุกๆเจนที่ผ่านมาในอดีต ที่จะสงวนตัวถังโป่งอวบๆใหญ่ๆให้เฉพาะรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น
มาดูรายละเอียดข้อมูลทางเทคนิคที่ถือเป็นไฮไลท์ของ The New 911 ทั้งสองรุ่นกัน เริ่มจากคันที่ผมขับก่อนในตัว Carrera 4S ด้านขุมพลังใช้เครื่องยนต์ใหม่เอี่ยมแบบ Flat 6 Boxer 6 สูบนอนยัน ความจุ 3.0 ลิตร แบบเทอร์โบคู่ (Bi-Turbo) ที่ใช้เทอร์โบตัวใหม่ในรหัส 9A2evo Turbocharger และการวางเลย์เอ้าท์ทางเดินเทอร์โบใหม่แบบสมมาตรกันทั้งสองตัวซ้ายและขวา ใช้ Wastegate ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า อัพเกรดกังหันเทอร์ไบน์ของโข่งไอดี เพิ่มขนาดเป็น 48 มม. (เพิ่มขึ้น 3 มม.) และโข่งไอเสียเพิ่มขนาดเป็น 55 มม. (เพิ่มขึ้น 4 มม.) ทำให้เทอร์โบตอบสนองได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม บูสท์มาไวขึ้น ช่วยให้อุ่นเครื่องยนต์ตอนสตาร์ทติดเครื่องเวลาเครื่องเย็นได้เร็วขึ้น และช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาวะเค้นอัตราเร่งหนักๆได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย ทั้งสองรุ่นให้พละกำลังที่เพิ่มขึ้นตามนี้ แรงม้าสูงสุด 450 PS (444bhp) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 530 นิวตัน-เมตร ที่ 2,300-5,000 รอบ/นาที รอบทำงานสูงสุดของเครื่อง ที่ 7,500 รอบ/นาที เมื่อเทียบกับสเปคของ 991.2 ตัวก่อน ได้ม้าเพิ่มขึ้น 30 PS แรงบิดเพิ่มขึ้น 30 นิวตัน-เมตร และที่สำคัญ 992 ใหม่ สามารถทำเวลาที่สนาม "นรกสีเขียว" Nurburgring Nordschleife ด้วยเวลา 7:25 นาที เร็วกว่าตัวก่อน 5 วินาทีเลยทีเดียว!
มาดูตัวเลขอัตราเร่งกัน Carrera 4S ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ 3.6 วินาที จากการออกตัวธรรมดา แต่ถ้าออกเอี๊ยดด้วยฟังก์ชั่น Launch Control เวลาจะเหลือเพียง 3.4 วินาทีเท่านั้น! แรงโคตรๆเลยครับ เร็วกว่า 991.1 GT3 (ที่ทำได้ 3.5 วินาที) อยู่ 0.1 วินาที! ถือว่าเป็นรถยนต์ปอร์เช่แบบ Non GT cars ที่มีอัตราเร่งไม่ธรรมดานับตั้งแต่ผลิตมา ส่วนอัตราเร่งของ Carrera S จะทำได้เร็วไม่แพ้กันช้ากว่ากันเพียงกระพริบตา 0-100 ทำได้ 3.7 วินาที ออกตัวด้วย Launch Control ทำได้ 3.5 วินาที ช้ากว่าตัวขับ 4 ไปเพียง 1 ใน 10 ส่วนของวินาทีตอนออกตัว แต่ถ้าแช่คันเร่งยาวๆจนถึง 200 กม./ชม. Carrera S จะใช้เวลาเพียง 12.4 วินาที เทียบกับ 12.7 วินาที ของ Carrera 4S ส่วนท็อปสปีดทั้งคู่ทำได้เท่ากัน ที่ 308 กม./ชม. จากตัวเลขจะเห็นได้ชัดว่าอัตราเร่งทั้งตีนต้นและตีนปลาย แรงและเร็วกว่า 991.2 เจนก่อนพอสมควรเลยทีเดียว จริงๆต้องยกเครดิตให้เกียร์บ็อกซ์ ลูกใหม่แบบ PDK 8 Speed เป็นเกียร์บ็อกซ์ใหม่เอี่ยมคลัตช์คู่ 8 สปีดเดินหน้า ที่ให้ท็อปสปีดที่เกียร์ 6 ส่วนเกียร์ 7 กับ 8 จะทดเฟืองเกียร์แบบ Overdrive เพื่อเน้นความลื่นไหลสมูทในทุกรอบเครื่อง ใช้ประโยชน์เวลาขับชิวๆเน้นความประหยัด และความสมูทเวลาขับขี่ เกียร์ลูกนี้วิศวกรเคลมว่าตอบสนองได้รวดเร็ว ด้วยอัตราทดที่สั้นตอบสนองได้รวดเร็วกว่าเดิม เปลี่ยนเกียร์ได้ไวยิ่งกว่า PDK 7 Speed ที่อยู่ในเจนก่อน แต่เกียร์ลูกนี้มีขนาดเสื้อเกียร์ใหญ่กว่าและน้ำหนักรวมที่มากกว่าเดิม เพราะแอบเหลือพื้นที่ภายในไว้รองรับระบบไฮบริดที่จะนำมาติดตั้งในอนาคตนั่นเอง คาดการณ์กันว่าเราอาจจะได้เห็น 992 Hybrid ในเจน 2 ซึ่งต้องรอไปอีกไม่ต่ำกว่า 4 ปีข้างหน้า
นอกจากได้เครื่องยนต์ใหม่ ได้เทอร์โบคู่ใหม่แล้ว เครื่องบล็อกนี้ยังวางเลย์เอาท์ตำแหน่งอินเตอร์คูลเลอร์ใหม่ จากด้านล่างมาอยู่ด้านบนแทน ทำให้สามารถขยายขนาดพื้นที่ของอินเตอร์คูลเลอร์ให้ใหญ่ขึ้นได้อีก 14% ท่อทางเดินอินเตอร์คูลเลอร์สั้นลง 50% เมื่อเทียบกับการวางอินเตอร์แบบเดิม ส่วนเรื่องการใช้วัสดุลดน้ำหนัก 992 ถือว่านำอลูมิเนียมมาใช้ประกอบตัวถังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยสัดส่วน 70% เทียบกับเจนก่อน 37% เพื่อช่วยให้ 992 มีน้ำหนักตัวน้อยที่สุดเท่าที่จะรีดน้ำหนักออกได้ แต่ด้วยตัวถังที่มีโป่งขนาดใหญ่บวกกับ เกียร์ลูกใหม่ที่มีขนาดและน้ำหนักเพิ่มขึ้น รวมถึงอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ต่างๆที่ติดตั้งเพิ่มเข้าไป อั๊นยังไงก็ไม่อยู่แม้จะหันมาใช้อะลูมิเนียมมากกว่าเดิม แต่น้ำหนักรถปาเข้าไปถึง 1,515 กก. ในตัว 992 Carrera S เทียบกับ 991.2 Carrera S เจนก่อน มีน้ำหนักเพียง 1,460 กก. (เบากว่า 55 กก.) แต่ให้อภัยเถอะ เพราะอย่าลืมว่า 992 นั้นมีขนาดใหญ่อวบอัดมีมัดกามกว่าเจนเดิม แถมยังยัดล้อและยางขนาดยักษ์ หน้า 20" หลัง 21" ไซส์ยาง (หน้า) 245/35ZR20 (หลัง) 305/30ZR21 มาด้วยจานเบรคก็ถูกเพิ่มขนาดจาก 330 มม. ไปเป็น 350 มม.อีกต่างหาก น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 55 กก.ก็นับว่าสมเหตุผลแล้ว
ทีเด็ดอีกเรื่องคือการเซ็ตช่วงล่างใหม่หมด คันที่ผมทดสอบได้ติดตั้งช่วงหลังแปลผันแบบ PASM ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ ด้วยซอฟต์แวร์ตัวล่าสุดที่ใช้หน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพในการคำนวณสูงกว่าเดิมหลายเท่าตัว ทำให้สามารถวิเคราะห์คำนวณข้อมูลที่ได้รับจากแหล่งข้อมูลต่างๆอาทิ ความเร็วที่ใช้, การยุบตัวของโช๊คอัพ, แรงสั่นสะเทือนจากผิวถนน, องศาพวงมาลัย, คันเร่ง และเบรค ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาคำนวณอย่างรวดเร็วเพื่อปรับความหนืดของกระบอกโช๊คอัพไฟฟ้าได้หลายร้อยครั้งต่อ 1 วินาที เพื่อให้ค่าความหนืดที่เพอร์เฟคที่สุดในการยึดเกาะถนน ผนวกกับทีเด็ดตัวสำคัญอีกอย่าง 992 ถูกติดตั้งแร็กพวงมาลัยใหม่ ที่ปรับแต่งอัตราทดใหม่ที่ให้การบังคับควบคุมไวขึ้นแม่นยำกว่าเดิม ให้ฟีตแบคกลับสู่มือคนขับแบบอารมณ์รถสปอร์ตขนานแท้ ยิ่งถ้าสั่งติดตั้งระบบเลี้ยวล้อหลัง Rear-Axle Steering ด้วยแล้ว บอกเลยว่าตัวรถจะเลี้ยวในความเร็วต่ำได้คมขึ้น ปราดเปรียวขึ้น ในทางกลับกันจะเกาะถนนทรงตัวในย่านความเร็วสูงได้ยอดเยี่ยม
"ระบบแอร์โรไดนามิกแบบแปรผัน"
เมื่อวิเคราะห์การทำงานของระบบแอร์โรไดนามิกใหม่ มันคือตัวช่วยสำคัญเพื่อสร้างแรงกดอากาศ ที่เพิ่มประสิทธิภาพการส่งตัวได้สมบูรณ์แบบในแต่ละโหมดการขับขี่ 992 มีสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่มาก เรียกได้ว่าแทบจะทั้งฝาหลังทั้งชิ้น สามารถยกตัวได้ 3 ระดับ เพื่อสร้างสมดุลให้แรงกดอากาศในสภาวะการณ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีครีบบังคับอากาศที่ทำงานเปิด-ปิดอัตโนมัติ เพื่อทำหน้าที่ระบายความร้อนแผงออยคูลเลอร์ ลดอาการต้านลม และในหน้าที่ตรงกันข้ามสามารถสร้างแรงกดอากาศได้อีกด้วย
ขณะที่เร่งความเร็วถึง 90 กม./ชม. สปอยเลอร์หลังจะยังคงปิดสนิทอยู่ แต่เมื่อความเร็วเกิน 90 กม./ชม.ขึ้นไปเมื่อไหร่ ในภาวะที่ใช้โหมดการขับขี่แบบ Normal มันจะเริ่มสั่งให้สปอยเลอร์หลังยกตัวขึ้นเล็กน้อยในตำแหน่ง "Eco Position" เพื่อลดแรงเสียดทานและจะค้างอยู่อย่างนั้นจนถึง 150 กม./ชม. หากเร่งความเร็วเพิ่มจากนั้นไป สปอยเลอร์หลังจะยกตัวสูงขึ้นสู่ตำแหน่ง "Performance Position" เพื่อสร้างแรงกดอากาศสูงสุดและสร้างแรงยึดเกาะเวลาทำความเร็วสูง
แต่หากอยู่ในโหมด Sport หรือ Sport Plus ระบบจะสั่งให้สปอยเลอร์หลังยกตัวสูงสุดในท่า "Performance Position" เลย ตั้งแต่ความเร็วเกิน 90 กม./ชม.ขึ้นไป ในบางกรณีที่อัดรถมานานๆจนความร้อนเครื่องสูงขึ้น ระบบจะสั่งให้ยกตัวสูงสุด ตั้งแต่ความเร็วที่ 60 กม./ชม. เพราะจะช่วยระบายความร้อนห้องเครื่องได้ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ในกรณีที่ขับเปิด Sunroof ที่ความเร็วเกิน 90 กม./ชม. ระบบจะสั่งให้สปอยเลอร์หลังยกตัวสูงสุดด้วยเช่นกัน
มาดูการทำงานของครีบเปิด-ปิดที่กันชนหน้า ที่คอยทำหน้าที่เป็นระบบสร้างแรงกดอากาศแปรผันเช่นกันในโหมด Normal ครีบจะปิดสนิท ตั้งแต่ความเร็ว 70 กม./ชม. ถึง 150 กม./ชม. หลังจาก 150 กม./ชม. ขึ้นไป ครีบจะเปิดออกทีละน้อยจนเปิดสุดที่ความเร็ว 170 กม./ชม. หากในกรณีขับรถเปิดหลังคา Sunroof ครีบจะเปิดก่อนตั้งแต่ความเร็วที่ 120 กม./ชม. เพื่อบรรเทาการกระจัดกระจายของแรงลม แต่ถ้าอยู่ในโหมด Sport หรือ Sport Pius ครีบจะกางเปิดออกตลอดเวลาเพื่อช่วยลดอุณหภูมิออยคูลเลอร์แบบเต็มที่ และที่สำคัญยังช่วยสร้างแรงกดอากาศที่ดันหน้าสูงสุด
และนับเป็นครั้งแรกของโลก! ที่ปอร์เชนำเสนอโหมดการขับขี่บนสภาพถนนเปียกลื่นโดยเฉพาะ "Wet Mode" ระบบนี้จะคอยตรวจสอบลักษณะของเสียงน้ำที่กระเซ็นอยู่ในอุโมงค์ล้อรถ เพื่อสั่งการให้ระบบควบคุมการทรงตัวทำงานทันทีเพื่อรับมือกับสภาวะถนนเปียกลื่นได้อย่างปลอดภัย ต่อมาระบบจะขึ้นไฟเตือนให้คนขับเปลี่ยนเป็น Wet Mode เพื่อให้ระบบควบคุมการทรงตัวทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมันจะคอยเข้าควบคุมคันเร่ง และคอยตัดกำลังจากเครื่องยนต์เมื่อตรวจพบว่ารถเกิดอาการลื่นไถลมากจนอาจเกิดอันตราย อย่างที่หลายๆคนหวาดกลัวเวลาขับรถบนความเร็วสูงในภาวะฝนตกหนัก ถนนเปียกลื่นมักเกิดอาการ "เหินน้ำ" (Aquaplaning) คือขับมาเร็วเกินไปจนหน้าอย่างรีดน้ำออกไม่ทัน ทำให้รถรอยบนผิวน้ำ เป็นสาเหตุให้ควบคุมรถไม่ได้แล้วจะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงในที่สุด ซึ่ง Wet Mode สามารถรับมือกับอาการเหินน้ำได้ ด้วยการเพิ่มแรงยึดเกาะถนนในภาวะถนนเปียกลื่นได้ ด้วยการสั่งให้สปอยเลอร์ท้ายยกตัวสูงสุดในตำแหน่ง "Performance Position" และสั่งให้ครีบหน้าเปิดออกสุดตั้งแต่ความเร็วระดับ 90 กม./ชม. ขึ้นไป เพื่อสร้างแรงกดอากาศสูงสุดไปที่ล้อหน้าและล้อหลังเพื่อให้ล้อไม่เหินน้ำ มีแรงกดสูงที่หน้ายางให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากนี้ยังได้ระบบตัวช่วยพี่เลี้ยงที่คอยเข้าช่วยเหลือคนขับอีกหลายระบบ เริ่มจากระบบ Brake Assist accident mitigation system หรือแปลไทยง่ายๆก็คือระบบช่วยเบรกในภาวะฉุกเฉิน มีหลักการทำงานเริ่มจาก สเตจที่ 1 มันจะคอยเตือนด้วยภาพกราฟฟิคขึ้นที่หน้าจอพร้อมๆกับส่งเสียงสัญญาณเตือนว่าควรเบรกกระทันหัน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุข้างหน้า สเตจที่ 2 ระบบจะสั่งการให้รถเบรกอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบว่าคนขับตอบสนองเบรกช้าเกินไป แต่หากคนขับเฉื่อยขนาดไม่น่าจะเบรกได้ทันท่วงทีระบบจะเบรกเต็มแรงให้ทันที นอกจากนี้ยังมีพี่เลี้ยงอีกเพียบที่คอยช่วยเหลือในหน้าที่ต่างๆ อาทิ Lane Keep active cruise control และระบบ Lane-change assist แต่ไม่ลืมที่จะใช้ฟีเจอร์ติดตั้งระบบเชื่อมต่อ เพื่อการสื่อสารและความบันเทิงสมบูรณ์แบบที่ง่ายเพียงไม่กี่คลิก ทั้งระบบ iOS และ Android แต่ที่เด็ดและถูกใจผมและนักขับรถคนอื่นๆมากคือแอพ Porsche Track Precision ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยปอร์เช่เอง มันเจ๋งมากเพราะแอพตัวนี้สามารถโชว์กราฟฟิคค่าการขับขี่ น้ำหนักคันเร่งที่ใช้ หนักเบรกที่เบรก องศาเลี้ยวของพวงมาลัย จับเวลาต่อรอบให้ และความเร็วที่ใช้จะแสดงผลขึ้นบนมือถือของคุณ
"ความรู้สึกหลังจากที่ได้ขับทั้ง 2 รุ่น"
992 Carrera 4S ให้อารมณ์การทรงตัวที่มั่นคงเกาะหนึบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผิวถนน สร้างความมั่นใจเวลาขับขี่สูงมาก สูงมากซะจนคิดว่ารถวิ่งอยู่บนราง (555+) ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมันให้แรงยึดเกาะสูงมาก ทุกโค้งที่เข้าโดยเฉพาะโค้งกว้างๆ ผมจงใจกดคันเร่งออกจากโค้งลึกลงกว่าปกติเล็กน้อย ตัวรถแสดงอาการอย่างยอดเยี่ยม สามารถพุ่งออกจากโค้งได้มั่นคง ไม่มีอาการปัดเป๋ให้ต้องลุ้น แต่อาจพบอาการ Understeer (หน้าดื้อ) อยู่บ้างตามธรรมชาติรถขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะได้ระบบ PTV (Porsche Torque Vectoring) เข้าช่วย ทำให้ลดอาการหน้าดื้อโค้ง เพราะระบบจะสั่งให้ล้อในโค้งหมุนช้ากว่าล้อนอกโค้งทำให้รถเลี้ยวได้คมขึ้น แต่ความรู้สึกหลังจากที่ได้ขับทั้ง 2 รุ่น อัตราเร่งคืออีกหนึ่งจุดเด่นที่พัฒนาขึ้นจากเจนก่อนมาก เครื่องยนต์บล๊อกใหม่ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมตามเท้า ผมกล้าพูดว่าไม่เจออากร Turbo lag เลย ลองคาไว้ที่เกียร์ 4 แล้วปล่อยไหลไปเรื่อยๆทุกคั้งที่เรียกอัตราเร่งผมลองไม่เปลี่ยนเกียร์ลงตํ่า แต่แค่กดคันเร่งลงลึกปรากฎว่า เทอร์โบมันบูสท์เรียกได้ว่าทันทีที่เท้าเพิ่มนํ้าหนักลงบนคันเร่งเรียกแรงบิดขึ้นมาใช้การได้เร็วมาก ทําให้เร่งแซงได้สบายๆไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆตลอดเส้นทางในวันนั้นเลย และที่เจ๋งมากๆอีกเรื่องคุณจะได้ยินเสียงเทอร์โบบูสท์ดัง ( ซู๊ดดดดดๆ) ทุกครั้งที่กดคันเร่งจะยิ่งดังถ้าอยู่ในโหมด Sport และ Sport+ ส่วนเกียร์ PDK 8 Speed ลูกใหม่เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วกว่าเดิม ฉลาดกว่าเดิมมาก ผมลองอยู่ในโหมดออโต้มันพยายามเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูงในทุกสถานการณ์ยกเว้นขึ้นเขา-ลงเขาเพื่อเน้นการใช้รอบเครื่องที่สูงเกินจำเป็น เพื่อความประหยัดนํ้ามันเชื้อเพลิง แถมเปลี่ยนเกียร์ได้สมูทและเร็วจนแทบไม่รู้ว่าเผลอแป๊บเดียว มันไล่มาอยู่เกียร์ 6 ตั้งแต่เมื่อไร!? ช่วงขับบนถนนรองที่มีโค้งให้เล่นเยอะผมลองเปลี่ยนมาในโหมด Manual เพื่อเปลี่ยนเกียร์เองดูบ้าง เพียงกระดก Paddle Shift ที่อยู่หลังพวงมัยมันตอบสนองเรียกว่าแทบจะทันทีตั้งแต่ที่กดน้ำหนัก มันให้ความรู้สึกที่โคตรเร้าอารมณ์ เกียร์เปลี่ยนได้โคตรไวตามนิ้ว แต่อาจยังไม่ไวถึงขั้นเกียร์ PDK 7 speed ของ 991.2 GT3 ที่เคยได้ลองขับที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์
ผมจับความแตกต่างได้ชัดเจน ระหว่าง 2 รุ่นนี้คือน้ำหนักตัวพวงมาลัยของ Carrera 4S หนักกว่า ตึงมือกว่า Carrera S ที่จะออกไปทางเบากว่าแบบสังเกตได้ชัด แร็กพวงมาลัยที่ถูกปรับแต่งอัตราทดมาใหม่ ให้ความรู้สึกที่คมขึ้น และให้ฟีดแบคสื่อสารผ่านมือกลับมาดีกว่าเจนก่อน สร้างความมั่นใจให้ผมได้มากกว่าเดิมเวลาบังคับควบคุม คุณจะไม่มีทางกังวลเลยเวลานั่งอยู่หลังพวงมาลัย 992
พฤติกรรมในโค้งช่วงระหว่างโค้งและตอนออกโค้ง Carreara 4S จะออกไปทางเกาะหนึบรัดกุมไม่มีปัดเป๋ ต่างจาก Carrera S ที่ออกนอกลู่นอกทางบ้าง มีอาการท้ายกวาดพอสนุกมือให้แก้องศาพวงมาลัยเรียกสาร Adrenalin ให้อารมณ์ท้าทายนักขับ ส่วนตัวผมมองว่าสำหรับคนที่ชอบรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง คุณควรเลือก Carrera S ไปเลย เพราะเจนใหม่นี้ขับ 2 ล้อก็ได้ตัวถัง Wide Body โดยไม่จำเป็นต้องเลือกตัวขับเคลื่อน 4 ล้อ เพราะแรงยึดเกาะถนนทางกลไกลที่ได้จากการเซ็ตอัพช่วงล่างของ Carrera S สามารถเอาอยู่กับการขับขี่แบบโหดๆได้อยู่แล้ว ผมมองว่าจุดแข็งข้อเดียวของ Carrera 4S ที่มีเหนือกว่า Carrera S คือการยึดเกาะถนนที่เหนือกว่าในภาวะฝนเปียกลื่น และการออกตัวจากจุดหยุดนิ่งที่ทำได้ดีกว่า ในทางตรงกันข้าม Carrera S จะมอบประสบการณ์การขับขี่สไตล์ 911 ขนานแท้ แต่ถึงอย่างไรทั้งคู่ต่างก็สร้างความประทับใจให้ผมตลอดเส้นทางในวันนั้น ที่เต็มไปด้วยเส้นทางถนนคับแคบสภาพถนนชนบทที่ไม่ราบเรียบนัก มีขึ้นเขาลงเขา ต้องชมการเซ็ตโครงสร้างตัวถังที่เหนียวและแข็งแกร่ง ตัวรถให้การบังคับควบคุมสร้างความมั่นใจได้เกินร้อย แน่นทั้งคันไม่ว่าจะกดคันเร่งหรือเบรกหนักๆ มันตอบสนองได้กระชับมากๆอย่างที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับรถคันอื่น มันพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจที่อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณ มันจะสื่อสารกับคุณผ่านความรู้สึกมายังพวงมาลัย และส่งผ่านการเคลื่อนไหวทุกมูฟเม้นท์ผ่านสะโพกของคุณ ผมพูดได้เลยว่าอาจมีรถยนต์ซุปเปอร์คาร์อีกหลายคันที่แรงและเร็วกว่า 992 แต่ยากที่จะมีคันไหนสามารถเจียระไนอารมณ์การขับขี่ได้ละเอียดอ่อน เป็นอารมณ์การขับขี่ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจให้การสื่อสารที่เที่ยงตรง และปราดเปรียวชนิดที่ผมขอยกย่องให้เป็น 911 รุ่นพื้นฐานที่เริ่มต้นเจนเนอเรชั่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ 911 ตลอด 56 ปีที่ผ่านมา...สุดท้ายฝากติดตามคลิปทดสอบขับของผมได้ในรายการ FOC DRIVE บน YouTube channel เร็วๆนี้ครับ