Last updated: 22 พ.ค. 2563 | 1201 จำนวนผู้เข้าชม |
“ความแตกต่างที่โดดเด่น” นี่คงเป็นคำนิยามหากจะพูดถึงแฟชั่นที่มีสไตล์เฉพาะตัวของคู่เพื่อนซี้ “คุณยุ่ย – พิสิฐ จงนรังสิน และคุณเต้ – ศักดิ์สิทธิ์ พิศาลสุพงศ์ ” สองดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้ง Tube Gallery แบรนด์ที่สามารถหลอมรวมแฟชั่น และวัฒนธรรมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในหลายๆประเทศ เช่น โตเกียว ปักกิ่ง เซียงไฮ ปารีส ลอนดอน อเมริกา ดูไบ คูเวต ฯ จากบทสัมภาษณ์ทำให้รู้ว่าในการค้นหาตัวตนของแบรนด์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันใช้เวลา ลองผิดลองถูก รวมทั้งต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อค้นหาตัวตนให้เจอจนสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความแตกต่างแต่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่เมื่อใครได้เห็นดีไซน์ก็สามารถตอบได้ว่า แบรนด์นี้คือ Tube Gallery
ความกล้าที่จะแตกต่างในตัวตนของทั้งคู่ ทำให้ BMW เลือกทั้งสองมาร่วมเป็นหนึ่งในบุคคลต้นแบบของแคมเปญที่สะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ซึ่งอยู่ในสายเลือดของ BMW กับ experience the 7 ที่จะนำมุมมองการใช้ชีวิตของพวกเขามาตีแผ่และส่งต่อแรงบันดาลใจ ให้กับใครอีกหลายคนได้ลองออกไปค้นหาตัวตน และพัฒนาศักยภาพของตนเอง
จุดเริ่มต้นของแบรนด์จากการบอกเล่าของทั้งคู่ เกิดจากความชอบตอนเด็กๆ ที่รู้ตัวว่าชอบด้านแฟชั่น และความเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ชอบอะไรเหมือนกัน เมื่อโตขึ้นเลยชักชวนกันทำแบรนด์เสื้อผ้า ทั้งคู่บอกว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ การค้นหาความเป็นตัวตน ความเป็น Individual มันไม่ได้มาง่ายๆ ไม่มีวิธีการ และไม่มีใครมาสอน โดยคุณเต้กล่าวไว้ว่า “สําหรับผมมองว่าจริงๆแล้วมันคงไม่มีวิธีการในการค้นหาตัวตนหรอก คิดว่ามันเป็นเรื่องของเวลาที่ค่อยๆเพาะบ่มคำว่า “Individual” หรือ “ตัวตน” เราใช้เวลากับมันพอสมควร เราไม่ได้เรียนมา อาศัยครูพักลักจำ ช่วงแรกของการทำให้เนื้องานออกมาน่าสนใจ น่าตื่นเต้น มันไม่เหมือนกันสักครั้ง จริงๆแล้วมันคือเรื่องของเวลา” คุณยุ่ยกล่าวเสริมว่า “สิ่งที่สําคัญที่สุดในการทํางานของผมเลยคือ ทําในสิ่งที่ เรารักและเชื่อมั่นในตัวตนของเราเอง เพราะถ้าเกิดเราไปลอกงานจากคนอื่น. ท้ายที่สุด มันก็ไม่มีความเป็นตัวตนของเราอยู่ หาตัวตนของเราเจอเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าเราจะเอาอะไรไปสู้กับคนอื่นเขาได้”
ความชอบเรื่องแฟชั่นแม้ไม่ได้เรียนมาด้านนี้ คุณเต้จึงเน้นว่าเพราะเกิดจากความรักความชอบหล่อหลอมจนมีทุกวันนี้ คุณเต้ เล่าให้ฟังว่า “ตั้งแต่เด็กๆ ชอบดูละคร สิ่งที่จะดูก่อนเลยคือเขาแต่งตัวกันยังไง ผมโตมาในยุค 80’s 90’s สมัยที่ยังเป็นเรื่องของ Fashion Magazine ใครจะลงปก ดีไซน์เนอร์เป็นใคร จนมาวันนี้ได้ทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกัน คือการออกแบบเสื้อผ้าที่ใช้ในการละครทั้งในและต่างประเทศ เพราะฉะนั้นความรักความชอบมันคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทําให้เราเดินมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะไม่รับการฝึกฝนหรือเรียนรู้มาในรูปแบบที่มีระเบียบแบบแผนมา” สำหรับคุณยุ่ยบอกเราว่า “สําหรับผมความสนใจมันมาตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากคุณแม่เป็นครูสอนตัดเสื้ออยู่ที่ร้านพรศรีและเราเองก็คลุกคลีเห็นเค้าทํามาตั้งแต่เด็กมันคงซึมซับอยู่ในสายเลือด ข้อดีของการที่เราไม่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างมีระเบียบแบบแผน มันทำให้เราอยากทําอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ โดยไม่ต้องทําอะไรตามกฎเกณฑ์ และการที่ไม่ทำอะไรตามกฎเกณฑ์ มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่ทําให้เราค้นหาในสิ่งที่คนอื่นอาจมองไม่เห็นก็ได้ เช่น คนอื่นอาจจะบอกว่า 1 + 1 = 2 สําหรับเรา 1 + 1 อาจจะ = 11 ก็ได้”
ทั้งคู่ยังฝากถึงคนที่ค้นหาตัวเองเจอแล้วแต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เริ่มจากคุณยุ่ยได้ให้แง่คิดว่า “สำคัญที่สุดคือความอดทน แล้วก็ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งนี้แหล่ะคุณทําได้ เพราะฉะนั้นต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณทําได้ แล้วคุณจะทำมันได้จนถึงจุดหมาย” ส่วนคุณเต้แนะนำว่า “ผมมองว่าเวลาเป็นสิ่งสําคัญ ถ้าเรายังรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้ การอยากเป็นตัวของตัวเองมากก็จะลําบากหน่อย ต้องให้เวลาเพื่อตกตะกอนว่าวันนึงที่เราเริ่มรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เมื่อนั้นความเป็นตัวตนก็จะชัดเจนขึ้น สองคือต้องเชื่อมั่นว่าเราเป็นคนอื่นไม่ได้ เราเป็นได้แค่ตัวเราเอง และสิ่งนี้แหละจะทําให้เรายืนอยู่ได้ยาวๆ ในชีวิต ไม่เช่นนั้นเราก็จะเหมือนคนอื่นๆที่เปิดหน้าอินสตาแกรมแล้วโพสต์ท่าเหมือนกัน ทําอะไรเหมือนกันไปหมด มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ว่าทั้งคู่มีคติพจน์ประจำใจอะไรที่ทำให้ประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ คุณเต้และคุณยุ่ย บอกว่า “Be yourself, everyone else is already taken” เราคงเป็นได้เพียงแค่ตัวเองเนี่ยแหละ คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นสิ่งที่สําคัญคือ ความเชื่อมั่น และต้องรู้จักข้อดีข้อเสียของตัวเอง แล้วเราต้องรู้ว่าเราจะทํายังไงให้ข้อดีมันเหนือกว่าข้อด้อย การเป็นดีไซน์เนอร์เราจะต้องรู้ว่าเราคือใคร ถ้าเกิดเราไม่เป็นใครสักคน เราก็จะไม่ได้เป็นใครสักคน” และคุณยุ่ยกล่าวเสริมอีกนิดว่า “เราต้องเชื่อมั่นว่าเราทําได้ และเราจะทํามันให้ได้” ทั้งคู่ยังให้คำแนะนำสําหรับคนที่อยากหาตัวตนตัวเองให้เจอไว้ว่า “ให้ใช้เวลากับตัวเอง ชอบอะไรก็ทําอย่างนั้น ชอบเที่ยวก็ไป ชอบอ่านหนังสือก็อ่านหนังสือ ทํามันจนกว่าจะเจอ มันไม่มีทางที่จะได้มาง่ายๆ ไม่มีใครขายให้คุณ คุณต้องไปหาเอาเอง” คุณเต้กล่าว ส่วนคุณยุ่ยให้คำแนะนำว่า “มีความฝันก็ทําเลย อย่าให้มันอยู่ได้แค่ในความคิด”
ยังมีแง่คิดจากทั้งคู่ที่น่าสนใจเรื่องนึง เพราะทั้งคู่เชื่อว่า “กฎคือไม่มีกฎ” มันเป็นอย่างไร ไปฟังคำตอบโดยเริ่มจากคุณยุ่ย “สําหรับคนที่ได้รับการเรียนมา วิธีการของเขาก็อาจจะไม่ต้องหาตัวตนในระดับนึง แต่สำหรับเรา(คนที่ไม่ได้เรียนมา) เราใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตที่จะเจอตัวตนที่ชัดเจนของเรา ที่จะรู้ว่าทางไหนคือทางของเรา เพราะที่แน่ๆ ทางของ Tube Gallery คือ ทางที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าถูกหรือผิด เพราะเราใช้คำนิยามของเราว่า ทุกอย่างคือศิลปะ เราทำผลงานวันนี้ของเราให้เป็น Masterpiece ถึงแม้เราจะไม่อยู่ในวันนี้แต่ผลงานของเรายังอยู่ต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้นศิลปะจะถูกจดจำแม้พวกเราจะไม่อยู่แล้วก็ได้”
สำหรับคุณเต้บอกว่า “การที่ได้เรียนในระบบก็เป็นสิ่งที่ดี คุณจะได้วิธีคิด แต่เมื่อคุณจะค้นหาเรื่องตัวตน มันจะเป็นอีกเวอร์ชั่นนึงในการสร้างตัวตน เราจะไม่ได้เข้าสู่ขบวนการความคิดที่เป็นระบบ เมื่อเราไม่ได้ติดอยู่กับกฎตั้งแต่ต้น วิธีการของเราก็คือใส่ให้เต็มที่ไปก่อน ปาให้แรงที่สุดไปก่อน แล้วรอดูว่ามันจะเด้งกลับมาถูกทางไหม แล้วถ้ามันกลับมาทางไหนเราก็เอาทางนั้น ”