Last updated: 6 ต.ค. 2563 | 2882 จำนวนผู้เข้าชม |
เรื่อง : Andre Lam
แปลเรียบเรียง : Link
รูป : Lotus Press
ย้อนเวลากลับไปในปี 1996 Lotus คือผู้บุกเบิกใช้โรงสร้างตัวถัง (แชสซี) ที่ผลิตขึ้นจากอลูมิเนียมทั้งชิ้นถูกนำมาผลิตครั้งแรกให้กับรุ่น Elise S1 มันเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็กอันโด่งดัง สุดจัดในเรื่องแฮนดริ่งที่หาตัวจับยาก น้ำหนักเบามีอัตราส่วนแรงม้า/น้ำหนักดีมากเป็นสุดยอดรถ Track Car ที่มีราคาจับต้องได้ในยุคนั้น และถือเป็นรถที่พาแบรนด์ Lotus ฝ่าวิกฤตล้มละลายผ่าน 10 ฝน 10 หนาว ฝ่าทุกมรสุมอันเลวร้ายมาจวบจนปัจจุบันที่เดินทางมาถึงรุ่น Exige เจน 3 ในรุ่น Sport 350 (ยังไม่นับตัวโหดรุ่นเฉพาะกิจ Exige Sport 410 และตัว Cup 430 อีกนะ!)
ด้านขุมพลัง Exige Sport 350 ยังคงใช้เครื่อง V6 3.0 ลิตรพ่วง Supercharger จาก Toyota Camry ที่ขายในอเมริกาให้กำลังแรงม้าสูงสุด 350 PS ฟังดูแล้วอย่างเพิ่งร้องยี้ มันมีม้าเท่ากับรุ่น Exige S V6 ที่ออกมานานแล้วก็จริงแต่แรงม้าระดับ 350 ตัว บวกกับโครงสร้างน้ำหนักตัวรถที่เบาเพียง 1,125 กก. ซึ่งเบากว่า Exige S V6 ปี 2013 ถึง 51 กก. เลยนะ!
มันถูกรีดน้ำหนักด้วยการปรับเปลี่ยนชิ้นอะไหล่ยกใหม่และรวมไปถึงหลายชิ้นที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้เบาลง ยกตัวอย่างเช่น จากเบรกแบบ 2 ชิ้นรุ่นใหม่ลดน้ำหนักลง 10 กก. ได้ล้อฟอร์จลดน้ำหนักลงอีก 5 กก. ช่วยลดภาระช่วงล่าง (Unspring Weight) เลี้ยวได้คมขึ้นเยอะ ใช้ฝาครอบห้องเครื่องผลิตจากเรซินที่บางเบาขึ้นกว่าเดิมลดน้ำหนักออกได้อีก 12 กก. ใช้เครื่องทำความอุ่น Heater ลดน้ำหนักเบาลง 5 กก. ใช้แบตเตอรี่ ลดน้ำหนักเบาลง 3.5 กก. ใช้วัสดุซับเสียงน้อยลงเบาไปอีก 2.7 กก. ถลกฝาครอบวาวล์เครื่องออกไปอีกเบาลงอีก 1 กก. เอากะมันสิ! อะไรถอดได้ถอดว่างั้น !!
นอกจากนี้ยังปรับปรุงซับเฟรมห้องเครื่องยนต์ใหม่ปาดน้ำหนักส่วนเกินออกได้อีก 3 กก. รวมไปถึงเอาระบบแอร์ปรับอากาศออก (จะบ้าหรอ!) ลดน้ำหนักลงไปอีก 7.5 กก. ซึ่งแน่นอนคงต้องถูกใส่กลับมาใครมันจะบ้าไม่ขับเปิดแอร์! ยังๆไม่พอมันถูกรื้อที่หุ้มเกียร์ออกหมดโชว์กันเปลือยๆให้เห็นก้านคันชักคันส่งกันแบบดิบๆไปเลยตบน้ำหนักลงอีก 1.5 กก. และยังมีอีกหลายชิ้นส่วนที่ถูกเปลี่ยนเพื่อลดน้ำหนัก ลดลงได้น้อยกว่า 1 กก. ก็เอา! แต่ช็อคอัพและสปริงก็ยังคงเดิมไม่ถูกลดน้ำหนักแต่ถูกปรับจูนให้แมทช์กับน้ำหนักที่หายไปร่วม 51 กก. ส่วนอัตราทดพวงมาลัยถูกจูนใหม่ แคมเบอร์คู่หน้าถูกเพิ่มองศาจาก 0.40 ไปเป็น 0.80 องศา ปรับมุม Toe คู่หน้าเป็น 0.12 องศา จาก 0.06 แก้มุมแคมเบอร์หลังจาก -1.9 องศาเป็น -2.1 องศา ส่วนล้อและยางยังคงขนาด 17” โอบรัดด้วยยาง 205/45 R17 (หน้า) ล้อหลัง 18” ยาง 265/35 R18 เหมือนเดิม ปรับแต่งแอร์โรไดนามิกใหม่ทั้งวิงหลังและสปอยเลอร์หน้าสร้างแรงอากาศ Downforce ได้ถึง 42 กก. ที่ความเร็ว 160 กม/ชม ด้วยน้ำหนักตัวเบาหวิวเพียง 1,125 กก. ทำให้ Exige Sport 350 พุ่งทยานด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม/ชม เพียง 3.9 วินาที ท๊อปสปีดระดับ 274 กม/ชม เครื่อง V6 บล็อกนี้ให้กำลังสูงกว่าและส่งพละกำลังได้สมูทราบเรียบกว่าบล็อก 4 สูบ 2.0 ลิตรพ่วง Supercharger มันให้การตอบสนองของคันเร่งตามเท้ากว่าเยอะ เสน่ห์ของเครื่องบล็อกนี้ต้องยกเครดิตให้ Supercharger ที่พร้อมทำงานทันทีที่คุณเหยียบคันเร่ง อารมณ์กระชากตัวเหมือนรถพลังมอเตอร์ไฟฟ้าของยุคนี้ที่พร้อมจะดึงหนักหน่วงทันที ที่แตะคันเร่งแต่ข้อเสียคือมันดึงได้ไม่ยาวไม่เกิน 6,500 รอบ/นาที ต้องสับเกียร์แล้ว ประมาณว่าต้นจัดจ้าน กลางยังหมัดหนักแต่ปลายแผ่ว แต่จุดแข็งของ Exige Sport 350 ไม่ได้วัดกันที่ความเร็วความแรงเป็นที่ตั้ง แต่หากคือความคล่องแคล่วที่คุณจะได้จากมัน มันพลิ้วไหวไปในโค้งในแบบที่รถคู่แข่งในคลาสเดียวกันได้แต่ตามอยู่ห่างๆ แชสซีที่ยอดเยี่ยมชนิดหาตัวจับยาก จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่ามาตรฐานรถแรงทั้งมวลส่งผลให้มันเทพกว่าใครเวลาเอาลงสนาม! แต่มันถูกเซ็ตมาให้ขับใช้ชีวิตได้ลงตัวขับได้ดีตามถนนสายรองอยู่นะ เพราะได้ยาง Michelin PS4 ซิ่งได้ดีและก็ขับใช้งานทุกวัน ยังไม่โหดไปใช้ระดับ PS 4S หรือ P-Zero Corsa ที่เน้นออกไปทำศึกสงครามเป็นหลัก! ข้อดีอีกอย่างที่เป็นเรื่องจำเป็นเวลาขับขี่บนสภาวะการใช้งานจริง มันจะรีดน้ำได้ดีกว่าในสภาวะถนนเปียกลื่นเมื่อเทียบกับยางเทพทั้ง 2 รุ่นข้างต้น แม้ว่าไม่อาจเทียบชั้นการสื่อผ่านผิวถนนให้คนขับได้ดีเท่า P-Zero Corsa ก็ตาม สัมผัสที่ได้จากพวงมาลัย Lotus นั้น ไม่มีพวงมาลัยไฮดรอลิคของรถรุ่นไหนให้ฟีดแบคได้เทียบเท่า มันสามารถสื่อสารกับคนขับได้ยอดเยี่ยมรับรู้ทุกความเป็นไปของล้อคู่หน้าแบบไม่มีอะไรมากรอง ถ้าคุณไม่เคยขับรถ Lotus คุณจะไม่มีวันรู้สิ่งนี้ว่าพวงมาลัยธรรมดาไม่มีพาวเวอร์ผ่อนแรงมันรู้สึกดีขนาดไหน
แม้น้ำหนักพวงมาลัยจะรู้สึกหนักไปหน่อยเวลาหักเลี้ยวไปตามโค้งแคบๆ แต่มันจะฉายแววให้เห็นว่ามันเริ่มรู้สึกเบาขึ้น น้ำหนักตัวกำลังเหมาะเหม็งเมื่อคุณขับไปตามถนนสายรอง ถ้าให้พูดตรงๆ Exige Sport 350 คือรถที่ตรงกันข้าม เมื่อคุณมองหารถที่เน้นความสบาย เงียบ เก็บเสียงเป็นที่ตั้งเพราะแค่จะเข้า-ออกรถคุณต้องเรียนรู้วิธีใช้ให้ถูกต้องไม่ก็ต้องไปเสริมคอร์สโยคะมาซะก่อน! แต่หลังจากได้เข้าไปนั่งขับแล้วมุมมองแย่ๆเรื่องความไม่สะดวกสบายที่คุณมีจะถูกลบล้างออกไป เพราะคุณจะเมามันส์ที่ได้นั่งขับมันอย่างกับเด็กๆ เพราะยากแล้วที่ทุกวันนี้จะหารถสปอร์ตที่ให้อารมณ์การขับขี่ที่ตรงไปตรงมา เร้าใจ และบังคับควบคุมได้อย่างมั่นใจขนาดนี้ มันเป็นรถที่คุณต้องออกแรงทุกส่วน ใช้กล้ามเนื้อแขนและขา ต้นคอต้องแข็งแรงพร้อมที่จะถูกแรงจีหนักๆถาโถมใส่ รับรู้แรงสั่นสะเทือนที่รถส่งมาให้ทุกวินาที แต่ก็ไม่หนักเกินไปที่จะลอง โดยเฉพาะความรู้สึกของแป้นเบรกที่ถึงแม้จะมีหม้อลมผ่อนแรงเบรกให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานกับเข้าแล้วแต่มันยังคงต้องใช้แรง (เท้า) กระทืบหนักๆใช้ฟีลเดียวกับเบรกรถแข่งที่ไม่มี Servo เบรกเข้าช่วย แหม่มันช่างกลับสู่สามัญเสียนี่กระไร!
ส่วนภายในห้องโดยสารไม่มีอะไรใหม่ให้สาวๆตาลุกวาว มันดิบเถื่อนตรงไปตรงมาไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้นโชว์โครงสร้างแชสซีอลูมิเนียมเปลือยกันเหมือนเคย และทีเด็ดก็คือคราวนี้โชว์เปลือยคันชักคันส่งของกลไกลเกียร์แมนนวล 6 สปีดกันไปเลย บอกเลยว่าอย่างเท่!
Exige Sport 350 มันทั้งแรง ดิบ เถื่อน ตรงไปตรงมาไม่ประณีประนอมเฉกเช่นที่มัน (รุ่นก่อนๆ) เคยเป็น มันคือรถสนามที่พร้อมจะให้ประสบการณ์การขับขี่ที่โครตอร่อย ให้คนขับอยู่ใกล้ชิดกับถนนมากเท่าที่จะให้ได้ มันให้การสื่อสารการบังคับควบคุมแบบที่ยากจะหารถคู่แข่งแบรนด์ไหนมาเทียบ โดยเฉพาะยุคนี้ยุคที่ใครๆกำลังเห่อรถไฟฟ้า อะไรก็มีระบบตัวช่วยอิเล็คทรอนิกส์ไปหมดถ้าคุณกำลังมองหารถสปอร์ตเพียวๆ ที่สร้างมาเพื่อให้คุณขับบังคับควบคุมรถด้วยตัวคุณ ฝีมือคุณไม่ใช่คอมพิวเตอร์ คุณต้องรีบแล้วละ เพราะผมไม่แน่ใจว่าอนาคตมันจะยังคงหลักการนี้ได้นานต่อไปอีกหรือไม่
Lotus Exige Sport 350
Engine : 3.5 ลิตร V6 24 วาวล์ Supercharger
Transmission : ธรรมดา 6 สปีด
Power : 350 PS ที่ 7,000 รอบ/นาที
Torque : 400 Nm ที่ 4,500 รอบ/นาที
0-100 km/h : 3.9 วินาที
Topspeed : 274 กม/ชม