Last updated: 4 พ.ย. 2562 | 1393 จำนวนผู้เข้าชม |
แลมโบร์กินี่ วางแผนที่จะผลิตรถในโมเดลที่ 3 มาเป็นเวลานานและเมื่อย้อนกลับไปยุค 70 พวกเขาได้คิดค้นรถ ออฟ-โรด ที่เรียกว่า Cheetah ซึ่งพัฒนามาเป็น LM001 และ LM002 ซึ่ง LM ย่อมาจาก Lamborghini Militaria เพราะเป็นรถที่กอง ทัพสหรัฐฯสั่งซื้อแต่สุดท้ายมันก็ไม่เกิดขึ้นแต่จากนั้นพวกเขาได้พัฒนา LM002 สำหรับบุคคลทั่วไปได้ใช้ซึ่งขายออกได้ 300 คัน
จากนั้นพวกเขาได้พับโครงการ รถ SUV ไปจนกระทั้ง VW-Audi หันมาจับตลาดนี้บ้างทำให้โครงการนี้ของ แลมโบร์กินี่ผุดขึ้นมาอีกครั้งจนกลายมาเป็น Urus ในที่สุด
หากไม่มีสองค่ายนี้โผล่เข้ามา Urus คงไม่เกิดขึ้นแน่นอนโดยที่แพลตฟอร์ทของ Urus นั้นจะมีรากฐานเดียวกับ Cayenne และ Benteyga แต่จะทำอย่างไรจะทำให้รถคันนี้เป็น แลมโบร์กินี่? จึงทำให้พวกเขาเริ่มจัดการจูนเครื่องและออกแบบให้ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
Urus มีกลิ่นอายของ LM002 เพียงเล็กน้อยเพราะส่วนใหญ่จะเป็นลูกผสมระหว่าง Aventador และ Countach ซึ่งมิตย่า บอร์กเร็ต วิศวกรออกแบบได้จัดการผสมผสานจนกลายมาเป็น Urus
Urus เป็นรถ SUV มีขนาดใหญ่ด้วยฐานล้อที่ยาวถึง 3,003 มม. แต่กลับกระทัดรัดและคล่องแคล่วตรงกันข้ามกับ Benteyga โดยสิ้นเชิงซึ่งรูปลักษณ์ที่สปอร์ตและดุดันผสมกับมัดกล้ามที่ใหญ่ล่ำจึงทำให้การขับขี่ทุกครั้งเป็นไปด้วย ความตื่นเต้น
วิวัฒนาการของ LM002 และ Urus ห่างกันถึง 40 ปี ดังนั้นรสนิยมคนขับเปลี่ยนไป แน่นอนแม้ว่าเรื่องของดีไซน์ภายใน เป็นสิ่งที่ลูกค้ารับได้แต่ปัจจุบันลูกค้าต้องการอะไรที่ทันสมัยกว่าและหรูกว่าและแม้ว่าเป็นสิ่งที่ค่ายกระทิงดุไม่เคยทำ แต่ลูกค้าที่ได้เป็นเจ้าของเขากำลังเรียนรู้และเหมือนได้เข้าไปอยู่ในห้องขับเครื่องบิน
เช่นเดียวกับห้องเครื่องที่ดีไซน์นั้นออกมาให้คล้ายกับเครื่องโบอิ้งมากที่สุด ซึ่งพละกำลังเข้า SUV คันนี้ไม่ธรรมดา เพราะมันสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 305 กม./ชมแลมโบร์กินี่พยายามคิดค้นเพื่อให้ SUV คั้นนี้กลายเป็นรถสปอร์ต ซูเปอร์คาร์ ดังนั้นจึงได้จูนเครื่องยนต์เป็น V8 บล็อคใหม่เอี่ยมพ่วงเทอร์โบชาร์จซึ่งเป็นครั้งแรกที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตร ให้แรงม้าถึง 650 แรงม้า แรงบิด 850 นิวตัน-เมตร
การขับเคลื่อนเป็นระบบ 4 ล้อแต่มันสามารถทำระยะจาก 0-100 ได้ภายในเวลาแค่ 3.6 วินาทีเท่านั้นความเร็วสูงสุด 305 กม/ชม ไม่ใช่เร็วธรรมดาแต่มันเป็นรถ SUV ที่โคตรเร็วกว่าทุกๆค่าย
Urus ส่งกำลังผ่านเกียร์ ZF8HP ซึ่งจะมีเซ็นเซอร์ที่เรียกว่า Torsen center อยู่บริเวณเฟืองท้ายเพื่อสับเปลี่ยนแรงบิดรีด สมรรถนะรถออกมาได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมใหม่ที่เรียกว่า Tamburo หรือ Lamborghini Dynamics ซึ่ง เป็นชุดในโหมดการขับขี่ ANIMA (Adaptive Network Intelligent Management) ซึ่งประกอบไปด้วย Strada (ค่าเริ่มต้น / ปกติ), Sport, Corsa, Neve (ขับบนพื้นหิมะ), Terra (ขับแบบ off-road) และ Sabbia (ขับบนพื้นทราย) ซึ่งทั้งหมดนี้เพียง แค่คุณเลือกการขับขี่ให้ถูกต้องและระบบ ANIMA เข้ามาควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ต่างๆจนคุณสามารถขับได้ ตามที่ต้องการซึ่งแต่ละระบบยังสามารถตั้งค่าได้อีกและเซฟเก็บไว้ได้และเมื่อต้องการใช้เพียงแค่กดปุ่ม EGO เท่านั้น
นอกจากนี้ Urus ยังสามารถปรับจูนช่วงล่างตามสภาพพื้นผิวถนนได้อัตโนมัติ เช่น เมื่อต้องขับผ่านเส้นทางขรุขระหรือการไต่ลงจากที่ลาดชันพร้อมกับระบบป้องกันการหมุนของล้อเมื่อเข้าโค้งในสภาพพื้นผิวที่แตกต่างกันอีกด้วยที่ล้ำไปกว่าก็คือมีระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering หรือ LRS ระบบพวงมาลัยล้อหลังปรับมุมได้ +/- 3.0 องศา ที่จะหมนุตรงข้ามกับล้อหน้า เพื่อลดการหมุนของตัวรถขณะที่เบรกนั้นเป็น คาร์บอน เซรามิค ซึ่งเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน
นอกจากนี้สิ่งที่น่าประทับใจก็คือพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาดถึง 616 ลิตร แต่มันสามารถขยายออกมาได้อีกเกิน เท่าตัวถึง 1,596 ลิตรหากพับเบาะหลังซึ่งสามารถวางถึงกอล์ฟขนาดใหญ่ที่สุดได้สบายๆ
การทดสอบที่ Vallelunga Circuit ซึ่งเป็นแทรคที่เรียบโดยใช้ระบบ Strada , Sport และ Corsa ซึ่ง Strada เป็นโหมดที่ใครก็ขับได้เนื่องจากเป็นโหมดที่สบายที่สุด ระบบไฟฟ้า จะเข้ามาช่วย แต่ระบบสปอร์ตนั้นช่วงล่างจะกดต่ำและเมื่อเร่ง ความเร็วเพื่อเบรกทางโค้งนั้นปรากฏว่าเสียการทรงตัวเล็กเล็กน้อยแต่การเซ็ตระบบเพิ่มเติมจะยิ่งเพิ่ม Handling ของคน ขับให้ดีขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น
โหมด Corsa เครื่องยนต์จะตอบสนองมากขึ้นกว่าสองโหมดที่ว่าไปและเมื่อขับเต็มที่ที่ความเร็ว 200 กม/ชม แล้วเบรกนั้นปรากฏว่าเบรกหนึบมาก
ที่สำคัญเสียงคำรามนั้นเป็นเสียงจากปลายท่อจริงๆไม่ได้เป็นเสียงสังเคราะห์เลย
ส่วนการขับบนถนนจราจรปกตินั้น ปรากฏว่า เกียร์ ZF ทำงานได้อย่างสมูธและราบรื่นบวกกับล้อและยาง ยางที่ได้มาคือ Pirelli P-Zero ขนาด 23" ก็ยิ่งทำให้การขับนั้นราบรื่นมากๆ ขณะที่โหมด Strada สามารถขับได้ชิวๆ ส่วนสปอร์ตกับ Corsa ก็ยังขับบนถนนปกติได้แต่มันจะทำให้ทั้งคนขับและผู้โดยการเกิดอาการเครียด ดังนั้นการขับโหมด Strada เหมาะ ที่สุดบนถนนปกติทั่วไป
การวิ่งบนพื้นที่ ออฟ-โร้ดนั้นถือว่าทำได้ดีเกินคาดมากเพราะหลังจากได้ลองขับบนพื้นผิมขรุขระทั้งสองรอบนั้นปรากฏ ว่าทำได้อย่างคล่องตัวมากๆ แม้ว่ามาด้วยความเร็วก็ตามซึ่งทำได้ดีกว่ารถจากหลายๆค่าย เซกชั่นนี้ถือว่าสอบผ่านเลย
Urus ถือว่าเป็นรถที่ดีเกินคาดแม้ว่าผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ใช้เครื่อง V10 แต่การใช้เครื่องยนต์ เทอร์โบ V8 ที่ให้พละกำลัง 650 แรงม้า ทำให้ไม่ใช่แค่เป็น SUV ธรรมดา แต่กลับเป็น Super SUV และที่สำคัญราคาไม่แรง ซึ่งถือว่าเป็น แลมโบร์กินี่ เหมาะสำหรับครอบครัวมากกว่าที่จะซื้อเก็บไว้จอดโชว์ที่บ้าน
Specification
เครื่องยนต์ : 3996cc, Twin-turbo V8
ระบบเกียร์ : 8-Speed ZF automatic
พละกำลัง : 650 แรงม้า @ 6,000 rpm
แรงบิด : 850 นิวตัน/เมตร @ 2,250 - 4500 rpm
0-100 กม/ชม : 3.6 วินาที
ความเร็วสูงสุด : 305 กม/ชม
อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง : 12.3 กม/ลิตร