Last updated: 4 พ.ย. 2562 | 1483 จำนวนผู้เข้าชม |
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปอร์เช่ ต้องการที่จะเป็น ราชาแห่ง นูร์เบิร์กริงและการทดสอบรถแต่ละครั้งพวกเขาต้องการประกาศให้โลกรู้ว่าพวกเขาคือ ราชาแห่ง สังเวียน นูร์เบิร์กริง แต่เมื่อปี 2008 พวกเขากลับถูก Nissan GT-R ตบหน้าเข้าอย่างจังเพราะถูกช่วงชิงความเป็นใหญ่ไปได้ อีก 2 ปีต่อมา ปอร์เช่จึงส่งลูกชายคนใหม่ออกมาคือ 997 GT2 RS ซึ่งมีพละกำลังมากถึง 620 แรงม้าสามารถวิ่งทำเวลาต่อรอบได้ 7.18 นาที
ปี 2013 ปอร์เช่ส่งสาย ไฮเปอร์คาร์ลงสู่พื้นโลก ด้วย 918 Spyder ที่ทำความเร็วได้ดีกว่าเดิม 3 วินาทีซึ่งพวกเขาถือสถิตินี้เรื่อยมาจนกระทั่งปี 2016 ก็โดน Lamborghini Huracan Lamborghini ปาดหน้าชิงเจ้านครไปได้
เรจจานี่ ผอ.ของ แลมโบร์กินี่ พยายามคุยทับ แฟรงค์ วอลลิสเตอร์ เพื่อนซี้และรองประธาน Porsche Motorsport และผู้รับผิดชอบ โปรเจกต์ 918 ทั้งหมด แต่ วอลลิสเตอร์ กลับบอกว่า "อีกไม่นานจะกลับมาใหม่" ซึ่งกำลังจะคลอด 911 GT2 RS ออกมา
ช่วงเดือนกันยายน ปอร์เช่ส่งอาวุธหนักลงมาด้วยพละกำลัง 700 แรงม้า เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร flat six ได้บอดี้ที่กว้างและแชสซีจาก 991 มาแบบเต็มๆทำให้ GT2 RS สามารถทำเวลาต่อรอบได้ 6.47 นาทีเท่านั้น ซึ่งการขับเคลื่อน 2 ล้อและเครื่องยนต์ 6 สูบของตัวนี้ได้รับการพัฒนามาจากปอร์เช่ 918 ที่ลดขนาดเครื่องยนต์ V8 และแชสซีมาใช้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบ
โดยรวม GT2 RS คล้ายกับ GT3 RS ด้วยการใช้ เทอร์โบชาร์จซึ่งมันเหนือกว่า 911 Turbo S ซึ่งเป็นระบบขับ 4 (AWD) ด้วยการลดมาเป็นขับ 2 (RWD) ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้อีกว่าก่อนที่จะมี GT2 RS ปอร์เช่มีรถที่ Handling ดีมาก่อนและเป็นรถที่น่าครอบครองก็คือ GT3 RS เพราะมันเป็นรถที่ยอดเยี่ยมทั้งเครื่องยนต์ แชสซี แอร์โรไดนามิก และที่ยิงไปกว่านั้นมันยังซัดออกมาได้ถึง 500 แรงม้า เครื่องยนต์ 4.0 ลิตร flat six นับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้
ความแรง 500 แรงม้า ไม่พอที่ปอร์เช่จะมาทวงบัลลังก์แชมป์คืน พวกเขาต้องการความแรงที่มากถึง 700 แรงม้ารวมถึงเพิ่มชุดแอร์โรไดนามิกที่มีแรงกดมากกว่าเดิมจนสามารถทำให้ทำลายสถิติต่อรอบได้สำเร็จ พวกเขาตั้งใจเลือกบอดี้ของ GT3 RS เพราะมันสามารถใช้ลงขับในชีวิตประจำวันได้รวมไปถึงน้ำหนักที่เบาแต่แข็งแรงหรือแม้กระทั่งชิ้นส่วนของช่วงล่างที่สามารถขับใช้บนท้องถนนทุกๆวัน
ระบบกันสะเทือนแบบ PASM มีการปรับสปริงใหม่ให้สามารถรับแรงได้ 100 Nm/mm และด้านหลังขนาด 160 Nm/mm ซึ่งถือว่าด้านหลังมีสปริงที่กระด้างแต่ด้วยความชาญฉลาดพวกเขาจับมือกับ Michelin พันธมิตรที่ดีเสมอมาจึงได้ใช้ยาง Pilot Sport Cup 2 ซึ่งผลิตมาเพื่อGT2 RS โดยเฉพาะและเมื่อทุกชิ้นส่วนทำงานควบคู่ไปกับพละกำลัง 700 แรงม้า จึงทำให้ได้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นอีก 33 วินาที
แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตรแบบที่อยู่ในร่าง GT3 มาแต่ ก็หันมาใช้เครื่องที่เล็กกว่าขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบ S ที่มีพละกำลัง 580แรงม้าอยู่แล้วซึ่งการเพิ่มความแรงด้วยเทอร์โบพ่วงด้วยอินเตอร์คูลเลอร์จึงทำให้เครื่องยนต์ดีดไปถึง 700 แรงม้าเลย
นอกจากนี้ยังมีการเข้าคอร์สลดน้ำหนักด้วยชิ้นส่วนประกอบที่เป็นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ เช่นหลังคา ซุ้มล้อ เพื่อให้น้ำหนักลดลง ซึ่งน้ำหนัก 1,470 แม้หนักประกว่า GT3 RS ราวๆ 50 กก. แต่ก็มีการชดเชยด้วยแรงม้าที่มากมายพร้อมกับมีคอร์สลดน้ำหนักพิเศษที่เรียกว่า Weissach Package ด้วยการลดน้ำหนักลงมาอีกประมาณ 27 กก.
คราวนี้เราได้ไปทดสอบที่ Portimao race circuit ที่ปอร์เช่ ได้จัดให้สำหรับกลุ่มนักข่าวที่คัดเลือกมาโดยเฉพาะเพื่อทดสอบในแบบ Supercar Road-Go ที่สามารถขับทำความเร็วที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่ดีที่สุดเพื่อให้รู้จักตัวตนของ GT2 RS โดยมาจับคู่แข่งกับ 918 Spydersและเป็นการเทคคอร์สแบบตัวต่อตัวกับครูฝึกซึ่งจะใช้ 918 Spyders ลงสนาม และขับตาม GT2 RS แบบคันต่อคันเลย
ความเร็วแต่ละรอบค่อยๆสูงขึ้นจนกระทั่งทิ้งช่วงห่าง 918 ออกไปเรื่อยๆ จนถึงโค้งที่ดีที่สุดและเป็นโค้งที่เร็วที่สุดในสนามมันน่าประหลาดใจมากเลยที่ GT2 RS สามรถเข้าโค้งด้วยความไวและแม่นยำมากมันทำให้ผมเองประทับใจจริงๆทั้งๆที่เพิ่งได้ลองขับเป็นหนแรก
GT2 RS ใช้ยางเหมือน 918แต่ระบบแอรโรไดนามิกดีกว่าจึงช่วยในเรื่องของความเร็วได้ยอดเยี่ยมรวมทั้งสามารถรักษาความเร็วได้คงที่จนกระทั่งออกโค้งถ้าเทียบกับ 918 แล้วมันจะอันตรายกว่าในการเข้าโค้งแบบนี้
ขณะที่เรากำลังตื่นเต้นกับการทดสอบในสนาม Portimao Race เราก็ตั้งข้อสงสัยว่ามันจะสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันหรือไม่เพราะส่วนใหญ่คนที่ครอบครองก็ต้องใช้บนท้องถนนอยู่แล้ว
แม้ว่า GT2 RS ผลิตมาเพื่อเป็นรถแบบ Track day แต่มันก็น่าแปลกใจเช่นกันกับการวิ่งบนถนนปกติได้ดีแม้ว่ามันจะเป็นรถ RWD 700 แรงม้า สามารถทำความเร็ว 0-100 ภายในเวลา 2.8 วินาที และไปถึง 200 กม/ชม ภายใน 8.3 วินาที มันเปรียบเสมือนสัตว์ดุร้ายที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้
การขับขี่ใน manual mode โดยใช้ แพดเดิลชิพ รู้สึกเลยว่าช่วงรอบต่ำเทอร์โบมาช้าแต่เมื่อความเร็วรอบไปถึง 3,000 รอบ/นาที ไม่มีการล่าช้าให้เห็นเลย การที่จะเรียกเทอร์โบออกมาอย่างเต็มที่เหมาะที่สุดกับการใช้ Auto mode ซึ่งควบคุมด้วยเกียร์ PDK ที่จูนมาได้ยอดเยี่ยมแถมอย่างสามารถคำนวณการตอบสนองการ kick down โดยไม่ต้องรอรอบ
โหมด Sport-Auto จะดีในช่วงใช้เกียร์ต่ำแต่มันก็ไม่ได้ลากรอบให้นานนักนอกจากนี้เมื่อความเร็วลดลงมันจะค่อยๆลงมาอย่างสมบูรณ์จนกระทั่งอยู่ในช่วงรถเคลื่อนตัวช้า ส่วนเกียร์ PDK มีทั้งหมด 7 สปีดมีอัตราทดชิดที่สม่ำเสมอจนกระทั่งความเร็วไปถึง 340 กม/ชม นับว่าเป็นชุดเกียร์ PDK ที่ดีมากและเราสามารถขับได้โดยไม่ต้องเปิดคู่มือ