Last updated: 22 พ.ย. 2562 | 1397 จำนวนผู้เข้าชม |
มร.โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา รถยนต์ตระกูลเอสยูวี ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นอย่างมาก ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดขายทั่วโลกในปีที่ผ่านมาสูงถึง 820,721 คัน และมีสัดส่วนยอดขายมากกว่าหนึ่งในสามของยอดขายรวมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ดังนั้น เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมี่ยมในประเทศไทย และความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองในทุกๆ ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า บริษัทฯ จึงได้นำเสนอยนตรกรรมเอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุดจำนวน 4 รุ่น ประกอบด้วย “Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium”รถยนต์เอสยูวีระดับ S-Class แบบ 7 ที่นั่ง เครื่องยนต์ดีเซลที่พร้อมตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตอันไร้ขีดจำกัดในทุกเส้นทางทั้ง on-road และ off-road และ “Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic” รุ่นประกอบในประเทศ รถยนต์สไตล์ออฟโรดที่พร้อมลุยในทุกสถานการณ์ พร้อมทั้ง “Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé” ครอสโอเวอร์สไตล์คูเป้สายพันธุ์แรงที่จะมาช่วยเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอรถยนต์ตระกูล 63 ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และ “Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé” รุ่นประกอบในประเทศโฉมใหม่ นอกจากนี้เรายังได้เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ภายใต้แบรนด์ EQ รุ่นล่าสุด “The new Mercedes-Benz E 300 e” โดยทั้ง 5 รุ่นนี้จะเปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ หรือมอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคมนี้ ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี”
“สำหรับงานมอเตอร์ เอ็กซ์โปในครั้งนี้ ภายในบริเวณบูธของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้แบ่งโซนการจัดแสดงรถยนต์ออกเป็น 4 โซน ครอบคลุมรถยนต์ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งในกลุ่ม Compact Car, Contemporary Luxury, Dream Car และ SUV รวมถึงแบรนด์รถยนต์หรูระดับอัลตร้า ลักชัวรีอย่าง เมอร์เซเดส-มายบัค แบรนด์รถยนต์สมรรถนะสูงอย่างเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี และแบรนด์เทคโนโลยีกับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่าง EQ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับยนตกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกกลุ่มได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น” มร.โรลันด์ กล่าวเสริม
มร.บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้นำเสนอรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีจากแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ GLC, GLC Coupé, GLE, G-Class และล่าสุด Mercedes-Benz GLS และ Mercedes-AMG GLC จึงทำให้ในปัจจุบัน บริษัทฯ นำเสนอรถยนต์ในกลุ่มนี้ทั้งสิ้น 6 รุ่นด้วยกัน โดย Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ของยนตรกรรมเอสยูวีขนาด 7 ที่นั่งที่มอบความหรูหรา และสะดวกสบายเทียบเท่ารถยนต์ในตระกูล S-Class ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 ม.ม. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าทำให้มีพื้นที่ในห้องโดยสารมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณที่นั่งแถวที่ 2 และ Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศยนตรกรรมเอสยูวี 7 นั่งระดับ E-Class ที่สะท้อนตัวตนในฐานะรถยนต์สไตล์ออฟโรดที่พร้อมลุยในทุกสถานการณ์ แต่ยังคงความหรูหราทันสมัยได้เป็นอย่างดี และสำหรับยนตกรรมไฮไลท์จากแบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ประกอบด้วยครอสโอเวอร์สไตล์คูเป้ พันธุ์แรงสองรุ่นล่าสุด อย่าง Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé รถยนต์เอสยูวีรุ่นแรกในตระกูล 63 ที่เปิดตัวในประเทศไทย มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่แบบ Biturbo ด้วยเทคนิคการติดตั้งแบบ Hot inside V ผสานกับระบบเกียร์แบบสปอร์ต AMG SPEEDSHIFT MCT 9-Speed Sports Transmission ที่ช่วยให้การตอบสนองของรถในระหว่างที่มีการเปลี่ยนเกียร์รวดเร็ว และราบรื่นยิ่งขึ้น และ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่ ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน แบบ AMG Performance 4MATIC ระบบส่งกำลังแบบ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G และเครื่องยนต์แบบ V6 เทอร์โบคู่ แบบ Biturbo ที่มีจุดเด่นในเรื่องระบบแรงดันเสริมท่อสำหรับนำอากาศของชุดเทอร์โบ (boost pressure) ส่งผลให้สามารถเพิ่มแรงม้า และแรงบิดให้กับเครื่องยนต์รุ่นนี้ได้อย่างทรงพลัง โดยทั้งสี่รุ่นนี้มาพร้อมระบบมัลติมีเดียแบบ “MBUX” (Mercedes-Benz User Experience) ที่ช่วยยกระดับความสะดวกสบายขณะขับขี่ด้วยการเชื่อมโยงผู้ขับขี่เข้ากับเทคโนโลยีอันชาญฉลาดเสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวผ่านระบบการสั่งการด้วยเสียง และมาพร้อมบริการ Mercedes me connect ซึ่งมีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้า รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ อีกหนึ่งรุ่นไฮไลท์ที่บริษัทฯ นำเสนอในงาน คือ The new Mercedes-Benz E 300 e ยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดภายใต้แบรนด์ EQ ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่สามารถประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าถึง 60%”
นอกจากการเปิดตัว 5 ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดแล้ว บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้นำรถยนต์รุ่นอื่นๆ รวมกว่า 29 รุ่น ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในทุกเซ็กเมนต์จากแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เมอร์เซเดส-มายบัค เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี และแบรนด์เทคโนโลยี EQ มาจัดแสดงในงาน เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกชม และสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด โดยได้เตรียมข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมายเพื่อมอบให้กับลูกค้าทุกคนที่จองรถยนต์ ภายในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป อาทิ การนำเสนอรถยนต์ Mercedes-Benz E 350 e Final Edition ล็อตสุดท้าย ในราคาสุดพิเศษจำนวนจำกัด ราคาเริ่มต้นที่ 2,900,000 บาท
“พร้อมกันนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังได้เปิดตัว LINE Official Account ในชื่อ “Mercedes-Benz Thailand” (@mercedesbenzth) เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารและให้บริการลูกค้าโดยความพิเศษของการเปิด LINE Official Account ในครั้งนี้ คือ การรวมบัญชีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) เข้าไว้ด้วยกันเพื่อมอบความสะดวกรวดเร็วในการรับข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่างๆ และบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าคนสำคัญ โดยจะเป็นช่องทางดิจิทัลที่สามารถส่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ กิจกรรมที่น่าสนใจ และข้อเสนอพิเศษจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังสามารถให้บริการอื่นๆ ผ่านเมนูที่ง่ายต่อการเข้าใช้ อาทิ ข้อมูลเกี่ยวกับรุ่นรถต่างๆ (Car Models) บริการค้นหาผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Dealer Locator) บริการจองคิวทดสอบรถ (Book a Test Drive) บริการทางการเงิน (Financial Services) ไปจนถึง การอัพเดทข้อมูลกิจกรรม และข้อเสนอพิเศษต่างๆ (Event and Promotion) และเมนูสำหรับเจ้าของรถ (Owner Section) เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าการขยายช่องทางการสื่อสารบนดิจิทัลแพลตฟอร์มในครั้งนี้ จะช่วยให้แบรนด์มีความใกล้ชิดกับลูกค้า และกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับทุกคน” มร.บีเยิร์น กล่าวสรุป
ข้อมูลผลิตภัณฑ์
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium คือ ยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมี่ยม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นใหม่ล่าสุดที่เข้ามาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอรถยนต์ตระกูล เอสยูวีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งปัจจุบันนับเป็นเจเนอเรชันที่ 3 มาพร้อมขุมพลังดีเซล โดดเด่น ในเรื่องความหรูหราสง่างามที่มาพร้อมความปลอดภัยสูงสุด และความสะดวกสบายเช่นเดียวกับ รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ในตระกูล S-Class
ดีไซน์ภายนอก มีจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ที่ประกอบด้วยหลอดไฟ LED จำนวน 112 หลอดต่อโคมไฟหน้า 1 โคม ที่สามารถปรับความเข้มของแสง และความยาวของลำแสงได้อย่างเป็นอิสระจากกันโดยมีระบบตรวจจับวัตถุที่จะทำการคำนวณความสว่างอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสามารถปรับความยาวของลำแสงไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 150 เมตรโดยอัตโนมัติหากไม่พบรถยนต์ที่วิ่งสวนทาง และเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วที่สูงกว่า 40 กม./ชม. มาพร้อมกับไฟท้ายแบบ LED และล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ 21 นิ้ว เพิ่มความสะดวกด้วยบันไดสำหรับเข้า และออกห้องโดยสารแบบอัลลูมิเนียมที่มาพร้อมปุ่มยางกันลื่น นอกจากนี้ยังมีหลังคา พาโนรามิคซันรูฟ (Panoramic sliding sunroof) ที่เลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าช่วยเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่อีกด้วย
ดีไซน์ภายในและห้องโดยสาร ได้รับการออกแบบห้องโดยสารให้กว้างขวางโดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 7 ท่าน ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 ม.ม. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าทำให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณที่นั่งแถวที่ 2 โดยเบาะที่นั่งแถวที่ 2 สามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ และยังสามารถเลื่อนปรับเบาะให้ถอยหลังไปได้อีก 10 ซม. เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับวางขา และพนักพิงสามารถปรับเอนได้มากขึ้นกว่าเดิมและยังมาพร้อมกับระบบ EASY-ENTRY ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการเข้าสู่ตำแหน่งที่นั่งแถวที่ 3 โดยเบาะและพนักพิงของที่นั่งแถวที่ 2 จะถูกพับขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า ทำให้สามารถเข้าสู่แถวที่ 3 ได้อย่างสะดวกสบายและง่ายดาย ส่วนเบาะที่นั่งแถวที่ 3 เป็นที่นั่งแบบเต็มตัว (full size) สามารถรองรับผู้โดยสารที่มีส่วนสูงได้ถึง 194 ซม. นอกจากนี้ เบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 ยังสามารถพับเก็บหรือปรับแต่งได้อย่างอิสระเพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างหลากหลาย โดยหากพับเบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 ให้แบนราบทั้งหมดจะสามารถเพิ่มความจุสำหรับเก็บสัมภาระได้สูงสุดถึง 2,400 ลิตร อีกทั้งยังได้เพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทางด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี และระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติภายในห้องโดยสาร THEMOTRONIC เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
ระบบความสะดวกและการสื่อสาร Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium มาพร้อมกับระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ทั้งจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบ Digital widescreen cockpit จำนวน 2 จอต่อเนื่องกัน โดยสามารถเปลี่ยนรูปแบบแสดงผลของหน้าจอเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการขับขี่ที่หลากหลาย ที่ใช้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วด้วยระบบสัมผัสสำหรับหน้าจอแสดงผลข้อมูลส่วนกลาง รวมถึงระบบสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งสามารถประมวลผลประโยคที่ใกล้เคียงกับคำสั่งทั่วไปได้ เพียงพูดว่า ‘Hey Mercedes’ โดยรถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) ให้คุณเข้าถึงข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน โดยระบบจะแสดงข้อมูลในระดับสายตาที่ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน และสามารถปรับความเข้มของการแสดงผล ปรับตำแหน่งของการแสดงผล และปิดระบบได้หากไม่ต้องการใช้งาน รวมถึงระบบ แผนที่นำทาง (Hard Disc Navigation) ที่มีความแม่นยำสูง โดยผู้ขับขี่สามารถป้อนข้อมูลด้วย การสัมผัส touch screen, touch pad หรือระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS และ Android (Apple CarPlay™ & Android Auto™)
โดยในรถยนต์ GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ยังมาพร้อมกับบริการ ‘Mercedes me connect’ ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่อันโดดเด่นมากมาย อาทิ
· Mercedes-Benz emergency call system บริการที่จะคอยช่วยเหลือคุณจากสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือในขณะที่คุณได้รับอุบัติเหตุ รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์จะทำการติดต่อไปยัง Emergency Customer Contact Center ศูนย์บริการฉุกเฉิน ที่จะช่วยประสานงานด้านความปลอดภัย เพื่อช่วยเหลือให้คุณได้รับความปลอดภัยสูงสุด
· ระบบวิเคราะห์สภาพรถยนต์ Tele diagnostics ด้วยบริการ Remote Retrieval of Vehicle Status ที่จะคอยรายงานสถานะของรถยนต์ไปยัง Mercedes me และด้วยบริการ Tele diagnostics ที่จะคอยส่งข้อมูลและสถานะของรถยนต์ไปยังศูนย์บริการที่คุณเลือกเมื่อตรวจพบความเสียหายเพื่อให้คุณได้รับการซ่อมบำรุงที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุด
· ระบบแผนที่นำทาง Navigation System ระบบนำทางพร้อม Live Traffic Information แบบออนไลน์อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และสามารถป้อนข้อมูลที่ต้องการได้ผ่านทัชแพด
· ระบบตั้งค่ารถยนต์ (Pre-installation for Vehicle Set-up) และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารด้วยโทรศัพท์มือถือ (Remote Engine Start) ปลอดภัยไปอีกขั้นกับระบบ Remote Door Lock/Unlock ที่ช่วยให้คุณสามารถล็อกรถได้จากทุกที่ทั่วโลก ให้คุณไร้ความกังวลเรื่องความปลอดภัยและมั่นใจได้ว่ารถยนต์ของคุณจะอยู่ในการควบคุมตลอดเวลาเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางกับความสบายในแบบที่คุณควบคุมได้ด้วยระบบ Remote Engine Start ช่วยให้คุณสตาร์ทพร้อมเปิดระบบปรับอากาศและออกเดินทางไปกับความเย็นสบาย ในแบบที่คุณควบคุมได้เอง และในวันที่คุณต้องเดินทางไปยังสถานที่แปลกใหม่ คุณก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องตำแหน่งที่จอดรถอีกต่อไปด้วยระบบ Parked Vehicle Locator ที่ช่วยแสดงตำแหน่งของรถยนต์ภายในรัศมี 1.5 กิโลเมตร เพื่อให้คุณค้นหารถยนต์ที่จอดไว้ได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึง Vehicle Tracker ระบบที่ติดตามตำแหน่งรถยนต์ผ่าน GPS และยังมีระบบ Geofencing ฟังก์ชันที่ช่วยจำกัดพื้นที่การขับขี่ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่ารถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ของคุณจะปลอดภัยและอยู่ในการควบคุมของคุณ
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมากมาย อาทิ ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดบอดสายตา (Blind Spot Assist) ที่ช่วย ลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์ที่อยู่ในจุดอับสายตาในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนช่องจราจร และเมื่อผู้ขับขี่เดินทางถึงที่หมายแล้วระบบจะทำงานต่อเนื่องไปอีก 3 นาทีหลังจากดับเครื่องยนต์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นหากมีการเปิดประตูรถด้านที่มีรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์วิ่งเข้ามาในจุดอับสายตา ผู้ขับขี่จะยังคงได้รับการเตือนจากระบบ, ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทาง (Active Lane Keeping Assist) ที่ทำหน้าที่เตือนผู้ขับด้วยการสั่นสะเทือน และช่วยดึงรถ กลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติหากเรดาร์ของระบบตรวจพบความเสี่ยงในการชนกับรถยนต์ที่ตรวจจับได้, ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC), ระบบกันช่วงล่าง AIRMATIC ที่สามารถตอบสนองต่อความเร็ว สภาพถนน และลักษณะการขับขี่ และปรับตัวรถได้อัตโนมัติ รวมถึงระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist) ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind assist) โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system) กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง Electronic Traction System 4ETS สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ยังมาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้อัตราเร่งที่ดีที่สุด นุ่มนวลที่สุด และช่วยให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยสามารถลดการใช้น้ำมันลงได้ถึง 6.5%
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ราคา 8,859,000 บาท
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ
ดีไซน์ภายนอก ของรถยนต์ GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศเป็นผลลัพธ์จากการผสมผสานที่ลงตัวของคุณสมบัติอัจฉริยะและสุนทรียะทางการออกแบบ เพื่อให้รถยนต์รุ่นใหม่นี้มีรูปลักษณ์ที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณของผู้เป็นเจ้าของได้ตั้งแต่แรกเห็นโดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญด้านงานออกแบบเพื่อขับเน้นเพียงองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของตัวรถเท่านั้น ทั้งการสรรสร้างผลิตภัณฑ์ให้สวยงามเหนือกาลเวลา การใช้เทคโนโลยีงานออกแบบชั้นเลิศ และคุณภาพของงานประกอบ สัดส่วนของตัวรถจะเป็นแบบฐานล้อยาว มีระยะจากกันชนถึงดุมล้อสั้น และใช้ยางขนาดใหญ่ที่เหมาะสมกับการใช้งานในทุกสภาพถนน นักออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงยึดปรัชญาการออกแบบ Sensual purity โดยมีการปรับ ส่วนที่เป็นเหลี่ยมมุมต่างๆ ของตัวถังให้มีความโดดเด่นและสอดรับกับทั้งลักษณะตัวถัง และ แพลทฟอร์มของรถมากขึ้น ส่วนหน้าของรถยนต์ The GLE เปี่ยมไปด้วยพลังและความโดดเด่น ด้วยกระจังหน้าลาย 6 เหลี่ยมที่ยกตัวสูง แผ่นกันกระแทกชุบโครเมี่ยมที่ดูสอดรับกับฝากระโปรงหน้าที่มีช่องรับอากาศ powerdomes และชุดไฟหน้าอัจฉริยะแบบ MULTIBEAM LED ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมความดุดันให้กับรถได้ทั้งขณะเปิดหรือปิดไฟ รวมไปถึงไฟส่องทางบริเวณใต้กระจกมองข้างเป็นรูปตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เมื่อมองจากด้านข้าง ผู้เป็นเจ้าของจะพบกับเสาซีที่มีลักษณะกว้างซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ทางการออกแบบของรถยนต์ตระกูล The GLE ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์พัฒนาให้เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการเสริมสมดุลให้กับตัวรถ ดึงดูดสายตาด้วย AMG Bodystyling รอบคัน ทั้งกันชนหน้า-กันชนหลัง-สเกิร์ตข้าง ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 21 นิ้ว ซึ่งล้อทั้งสี่จะอยู่ในซุ้มล้อที่เป็นวงโค้งสวยงาม ด้านท้ายของรถมีลักษณะแผ่กว้างและดูทรงพลัง โดยมีจุดเริ่มต้นจากเสาซีทอดมาถึงไฟหลัง เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังติดตั้งแผ่นสะท้อนแสงด้านหลังในตำแหน่งที่ต่ำลงกว่าเดิมเพื่อสร้างลูกเล่นให้ไฟหลังดูมีลักษณะราบเรียบยิ่งขึ้น
ดีไซน์ภายใน เป็นการผสานเข้าด้วยกันของความหรูหราและสง่างามตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และความโฉบเฉี่ยว ดุดัน แข็งแกร่งแบบเอสยูวี ฐานล้อของ Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ มีความยาวถึง 2,995 มิลลิเมตร ซึ่งเพิ่มขึ้น 80 มิลลิเมตรจากรุ่นก่อนหน้า ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยโครเมียม ด้านบนของคอนโซลหน้า (dashboard) และด้านบนของแผงประตูหุ้มด้วยหนัง ARTICO พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa โดยเบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ พร้อมมอบ ความสะดวกสบายระดับพรีเมี่ยมด้วยเบาะนั่งแถวที่สองที่สามารถปรับองศาการเอนของพนักพิง และพับเบาะได้ง่าย ด้วยระบบไฟฟ้าแบบ 1/3 และ 2/3 พร้อมทั้งยังสามารถปรับเพิ่มพื้นที่วางขาได้มากถึง 69-1,049 มิลลิเมตร เพื่อสามารถเข้าไปถึงแถวที่สามได้สะดวก ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์นับเป็นแบรนด์แรกของโลกที่นำเสนอฟังก์ชันนี้ในกลุ่มรถยนต์เอสยูวี นอกจากนี้ ความจุของห้องเก็บสัมภาระด้านหลังยังมีสูงถึง 855 ลิตร และเพิ่มได้สูงถึง 2,055 ลิตร เมื่อพับเบาะแถวที่สองและแถวที่สามลง รวมถึงหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า
ระบบความสะดวกสบายและการสื่อสาร GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ มาพร้อมกับระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ทั้งจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบ Digital widescreen cockpit ขนาดใหญ่พิเศษ 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอต่อเนื่องกัน และระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) ให้คุณเข้าถึงข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน รวมถึงระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS และ Android (Apple CarPlay™ & Android Auto) ช่อง USB Type C บริเวณที่นั่งทุกแถว ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad และไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 สี (ambient lighting) นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับบริการ ‘Mercedes me connect’ อีกด้วย
ระบบความปลอดภัย ของ The new GLE ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น
· ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC) ซึ่งทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกระจังหน้าในการคำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้น และลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติ รวมทั้งช่วยเบรกด้วยระดับแรงเบรกประมาณ 50% ของแรงเบรกปกติ เพื่อรักษาระยะห่างตามที่ผู้ขับขี่กำหนด
· ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดบอดสายตา (Blind Spot Assist) ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือจักรยานยนต์คันอื่นที่อยู่ในจุดอับสายตาในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนช่องจราจร
· ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทาง (Active Lane Keeping Assist) ระบบที่ช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนช่องจราจรโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งระบบนี้จะทำงานโดยการใช้สัญญาณเรดาร์ ในการตรวจจับช่องจราจรและรถยนต์ที่อยู่ในช่องจราจรอื่น หากระบบตรวจพบความเสี่ยงที่จะชนกับรถยนต์คันอื่น ระบบจะช่วยดึงรถกลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติด้วยการเบรกล้อฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับรถยนต์ที่ตรวจจับได้
รวมถึงระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist) ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind assist) โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system) กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง Electronic Traction System 4ETS สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 5,190,000 บาท
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé รถยนต์เอสยูวีคูเป้รุ่นล่าสุดจากค่าย Mercedes-AMG ที่มาช่วยเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอของรถยนต์ในตระกูล 63 ได้อย่างลงตัว มาพร้อมความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวในสไตล์คูเป้บวกกับความแข็งแกร่ง ดุดันในแบบรถยนต์เอสยูวี ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบความแรง และการขับขี่ในทุกๆ สถานการณ์
ดีไซน์ภายนอก ด้วยชุดตกแต่ง AMG bodystyling รอบคัน และกระจังหน้าแบบ AMG-specific radiator grille แนวตั้ง ล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ขนาด 20 นิ้วน้ำหนักเบาจากเอเอ็มจี มาพร้อมกับเทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ซึ่งประกอบด้วยหลอดไฟ LED ที่ทำงานอิสระจำนวน 84 หลอดต่อโคมไฟหน้า 1 โคมที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ดีไซน์ของฝากระโปรงหลังยังมาพร้อมกับปีกแบบ AMG ที่มีโครงสร้างบังคับทิศทางลมที่ดูสะดุดตา เพิ่มลุคความสปอร์ตรวมถึงดิฟฟิวเซอร์สไตล์ใหม่ที่ช่วยพัฒนาการไหลเวียนของอากาศด้านหลังตัวรถ และหลังคาแก้วแบบ sliding sunroof ที่เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า
ดีไซน์ภายใน โฉบเฉี่ยวด้วยเบาะที่นั่ง AMG Performance seats หุ้มด้วยหนัง AMG nappa leather ผู้ขับขี่ยังจะได้พบกับความเร้าใจของพวงมาลัยแบบ AMG Performance Steering Wheel หุ้มด้วยหนังชนิด DYNAMICA microfibre ที่มีรูปทรงสปอร์ตท้ายตัดที่ออกแบบเป็นวงโค้งอย่างสมบูรณ์แบบ มาพร้อมกับปุ่ม AMG steering wheel button สามารถใช้คำสั่งหรือก้านควบคุมต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพิ่มเติมความสะดวกสบายด้วยแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว (All-digital instrument display) ที่มีโหมดการแสดงผล 3 แบบในสไตล์เอเอ็มจี คือ Classic, Sport และ Super sports พร้อมระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่าย และมีความยืดหยุ่นสูงในการควบคุม เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกคำสั่งต่างๆ ได้สะดวกรวดเร็ว และสอดคล้องกับสภาพการขับขี่ด้วยความเร็วสูง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé มาพร้อมกับระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ทั้งจอแสดงผลขนาด 12.35 นิ้ว พร้อม Touchpad
ระบบเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé มีระบบกันสะเทือนแบบ air suspension ที่จะทำงานร่วมกับระบบ AMG RIDE CONTROL+ ควบคุมผ่านระบบ AMG DYNAMIC SELECT ด้วยการใช้โครงสร้างปีกนกสองชั้นเพื่อรักษาสมดุลของล้อ และปรับระดับให้เหมาะสมด้วยลม และเทคโนโลยีอีกมากมายเพื่อช่วยเสริมเรื่องความปลอดภัย และยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น อาทิ ระบบ AMG rear axle differential lock ระบบ AMG DYNAMIC SELECT, ระบบ PRE-SAFE®,โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Electronic Stability Program - ESP®) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock braking system – ABS) ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist ไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน (Adaptive brake light) ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ ABA (Active Brake Assist system)ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST Service interval indicator) ระบบเตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure monitoring system) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดแบบอัตโนมัติ (Active Parking Assist) และกล้องแสดงภาพรอบคันแบบ 360˚ camera (360˚ camera), ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ Apple CarPlay™, ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) และระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดของเกียร์หลักได้ 5 แบบ คือ “C” (Comfort) สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลายและสะดวกสบาย, “S” (Sport) และ “S+” (Sport Plus) เน้นความเร้าใจในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และ “I” (Individual) ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้ อีกทั้งยังมีโหมด “RACE” ที่เป็นโหมดเสริมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความแรงและเกียร์ที่เปลี่ยนได้รวดเร็วเหมือนอยู่ในสนามแข่งรถ ซึ่งจะมาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าอารมณ์ ทั้งนี้ผู้ขับขี่สามารถสร้างข้อกำหนดทั้งหมดในแต่ละโหมดการขับขี่เองได้ด้วยการกดปุ่ม “M” (Manual) ที่อยู่ตรงกลางแผงควบคุม
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé
มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบ AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission ที่ช่วยทำให้รถมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น และช่วยให้อารมณ์ของการขับขี่ทุกครั้งเป็นเสมือนการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ต ผสานกับการตอบสนองของระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 จังหวะ ที่ช่วยในการควบคุมความเร็วอีกด้วย มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 4 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่ด้วยเทคนิคการติดตั้งเทอร์โบแบบ Hot inside V
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé ราคา 10,790,000 บาท
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รถยนต์เอสยูวีคูเป้รุ่นล่าสุดโฉมใหม่ จากค่ายแบรนด์รถยนต์สมรรถนะสูง ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ AMG Performance 4MATIC และความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว
ดีไซน์ภายนอก มาพร้อมชุดตกแต่ง AMG bodystyling รอบคัน ลงตัวด้วยกระจังหน้าแบบ AMG-specific radiator grill ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ขนาด 20 นิ้ว ตกแต่งด้านท้ายด้วย AMG Spoiler-lip, ปลายท่อไอเสีย 2 ท่อ แบบ 4-pipe look, ท่อไอเสียแบบ AMG Performance exhaust system ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน คาลิปเปอร์เบรกสีเทาพร้อมสัญลักษณ์ AMG และระบบกันสะเทือนแบบ AMG RIDE CONTROL+ air suspension พร้อมการปรับแต่งแบบ AMG sports ซึ่งมาช่วยเสริม ความดุดันให้กับรถยนต์รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี
ดีไซน์ภายใน โดดเด่นด้วยเบาะที่นั่งหุ้มหนังแบบ AMG Sport seat ตัดสลับ DINAMICA microfibre ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง เพิ่มความเร้าใจด้วย AMG Carbon-fibre trim โดยเบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำชุดคันเร่งและแป้นเบรกแบบสปอร์ต พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มด้วยหนัง nappa คุณภาพสูง พวงมาลัยนิรภัยพร้อมพาวเวอร์ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ กาบบันไดสเตนเลส พร้อมสัญลักษณ์ AMG แบบเรืองแสง ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO รวมถึงไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 สี และระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) พร้อมหน้าจอระบบสัมผัส หน้าจอเรือนไมล์แบบ All Digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และบริการ ‘Mercedes me connect’ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบแสดงข้อมูลขับขี่บนกระจกบังลมหน้าแบบ AMG Head-up Display ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Bluetooth) ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™)
ด้านเทคโนโลยี มาพร้อมกับระบบปรับรูปแบบขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AMG Performance 4MATIC และระบบความปลอดภัยอันล้ำสมัยมากมาย อาทิ ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) ซึ่งระบบนี้ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกันชนหน้า ในการคำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้น และ ลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติรวมทั้งช่วยเบรกด้วยระดับแรงเบรกประมาณ 50% ของแรงเบรกปกติ เพื่อรักษาระยะห่างตามที่ผู้ขับขี่กำหนด โดยระบบนี้สามารถตั้งค่าความเร็วของรถที่ผู้ขับขี่ต้องการได้ตั้งแต่ความเร็วที่ 0-200 กม./ชม.
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่ มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G และเครื่องยนต์แบบ V6 เทอร์โบคู่แบบ Biturbo ที่มีจุดเด่นในเรื่องระบบแรงดันเสริมท่อสำหรับนำอากาศของชุดเทอร์โบ (boost pressure) ส่งผลให้สามารถเพิ่มแรงม้าและแรงบิดของเครื่องยนต์รุ่นนี้ได้
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ ราคา4,990,000 บาท
Mercedes-Benz E 300 e รุ่นประกอบในประเทศ
ยนตรกรรมซาลูนอัจฉริยะที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ Mercedes-Benz E 300 e โดยมาพร้อมกับความโดดเด่นในเรื่องสมรรถนะจากเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดผสานกับพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ควบคู่กับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่สามารถประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นก่อนหน้าถึง 60% และช่วยให้อัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยรถยนต์รุ่นนี้นำเสนอทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ E 300 e Avantgarde, E 300 e Exclusive และ E 300 e AMG Dynamic
ดีไซน์ภายนอก ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปท์ Sensual Purity สง่างามด้วยกระจังหน้า
สีเงินเสริมโครเมียม พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ โดยในรุ่น E 300 e AMG Dynamic มาพร้อมกับล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ 19 นิ้ว สำหรับรุ่น E 300 e Exclusive มาพร้อมกับล้ออัลลอยด์ 10 ก้านขนาด 19 นิ้ว ส่วนรุ่น E 300 e Avantgarde มาพร้อมกับล้ออัลลอยด์ 5 ก้านคู่ขนาด 18 นิ้ว และมาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ในรุ่น E 300 e AMG Dynamic และ E 300 e Exclusive พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ซึ่งประกอบด้วยหลอดไฟ LED ที่ทำงานโดยอิสระจำนวน 84 หลอดต่อโคมไฟหน้า 1 โคม ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถปรับความเข้มแสง โดยใช้ระบบไฟหน้าให้เข้ากับสภาพการจราจรโดยรอบได้ ส่วนรุ่น E 300 e Avantgarde มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED High Performance นอกจากนี้ยังเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่ด้วยหลังคาพาโนรามิคซันรูฟที่เลื่อนเปิด-ปิดได้ที่เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้าสำหรับรุ่น E 300 e AMG Dynamic อีกด้วย
ดีไซน์ภายใน มอบความหรูหราและความสะดวกสบายให้คุณตลอดการเดินทาง ด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO ในรุ่น E 300 e Avantgarde และ E 300 e Exclusive และเบาะหุ้มหนัง nappa ในรุ่น E 300 e AMG Dynamic โดยเบาะคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำสำหรับตำแหน่งที่นั่งพวงมาลัย และกระจกมองข้าง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง nappa ในรุ่น E 300 e Avantgarde และ E 300 e Exclusive และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสไตล์สปอร์ตหุ้มหนัง nappa ในรุ่น E 300 e AMG Dynamic ซึ่งเป็นพวงมาลัยนิรภัยพร้อมเพาเวอร์ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า และปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ ปุ่มควบคุมแบบสัมผัส (Touch Control button) พร้อมจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบแบบ Digital widescreen cockpit ระบบ Audio 20 GPS พร้อมจอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สีอีกด้วย
ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยี ของ The new E 300 e มาพร้อมกับระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (PRE-SAFE® system) โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist ระบบรักษาความเร็ว (cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) และกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ รวมถึงระบบปรับรูปแบบการขับขี่ DYNAMIC SELECT
โดย Mercedes-Benz E 300 e ยังมาพร้อมกับบริการ ‘Mercedes me connect’ ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้มากยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้า รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการได้อย่างง่ายดาย รถยนต์ Mercedes-Benz E 300 e ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ที่มีขนาดความจุ 13.5 kWh มากกว่าเดิมถึง 110% ผสานกับประสิทธิภาพของเซลล์แบตเตอรี่ชนิดใหม่ซึ่งมีส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ส่งผลให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 10% จนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ภายในระยะเวลา 5 ชั่วโมง หากชาร์จด้วยเครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์ดบอกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และใช้กำลังไฟฟ้าสูงสุด นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ (9G-TRONIC) ที่ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากยิ่งขึ้น ทำให้การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวลและลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้สามารถลดระดับเกียร์ลงได้หลายระดับในกรณีที่ต้องการเร่งแซงอย่างรวดเร็ว และมาพร้อมด้วยสมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี ที่ให้ พละกำลังสูงถึง 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิด 350 นิวตันเมตรที่ความเร็วรอบ 1,200 – 4,000 ต่อนาที และเมื่อผสานพลังกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า จะทำให้ได้ System Output สูงสุดถึง 320 แรงม้าที่ 4,500 – 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิดถึง 700 นิวตันเมตรนอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยเพียง 46 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
E 300 e Avantgarde ราคา 3,190,000 บาท
E 300 e Exclusive ราคา 3,440,000 บาท
E 300 e AMG Dynamic 3,770,000 บาท