Last updated: 1 เม.ย 2564 | 708 จำนวนผู้เข้าชม |
ในช่วงเวลาที่สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลายและทุกคนยังคงต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งปัญหาที่หลายคนอาจจะลืมไปชั่วขณะ ทั้งที่ปัญหานี้ยังมีอยู่ต่อไปในประเทศไทยก็คือเรื่องมลภาวะทางอากาศจาก PM 2.5 ซึ่งยังคงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้จางหายไปไหน และอาจกลับมาสร้างความกังวลให้กับใครหลาย ๆ คนทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัดในประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับมลภาวะทางอากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่งที่ต้องลงมือแก้ปัญหานี้ให้ลุล่วง แต่เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่จะลุกขึ้นมาเริ่มต้นทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้ปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทยนั้นบรรเทาเบาบางลง
นี่จึงเป็นที่มาให้บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นเจ้าภาพประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาด (Clean Air Initiative) อย่างเป็นทางการ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย หอการค้าเยอรมัน-ไทย รวมถึง บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ทอร์คีโด เอเชีย-แปซิฟิค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจากเยอรมนีที่เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในประเทศไทยเช่นเดียวกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 เมื่อเร็ว ๆ นี้
นายเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย ซึ่งให้เกียรติมาร่วมในงานประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาด หรือ “Clean Air Initiative” ในครั้งนี้ด้วย กล่าวถึงความสำคัญของการตระหนักการส่งเสริมสภาวะอากาศสะอาดว่า “สภาวะอากาศที่ไม่ดีนั้นสร้างผลกระทบในทางลบได้มากมาย โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการท่องเที่ยวและการลงทุน ที่สำคัญ เมื่ออากาศเต็มไปด้วยมลภาวะ หลายคนอาจเลือกทำงานที่บ้าน ปิดประตูหน้าต่าง หรือซื้อเครื่องฟอกอากาศมาไว้ในบ้านได้ แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเลือกทำงานที่บ้านได้และยังต้องออกไปเผชิญกับ PM 2.5 ข้างนอก การทำให้อากาศสะอาดจึงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนร่วมกันจากทุกภาคส่วน ทั้งความร่วมมือแบบทวิภาคีระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเยอรมนี และความร่วมมือของบริษัทเอกชนต่าง ๆ ในการนำเสนอทางเลือกใหม่ในเชิงธุรกิจที่มีความยั่งยืนและเป็นประโยชน์กับผู้คนในวงกว้างด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคต การประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาดในวันนี้จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของหอการค้าเยอรมัน-ไทยและสมาชิกซึ่งเป็นบริษัทจากเยอรมนีที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ที่จะร่วมผลักดันให้ปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทยได้บรรเทาเบาบางลงในอนาคต เพราะปัญหามลภาวะทางอากาศจะเป็นสิ่งที่ท้าทายเราไปอีกยาวนานกว่าโควิด-19 อย่างแน่นอน”
มร.อันเดรียส ริชเทอร์ ตัวแทนจากหอการค้าเยอรมัน-ไทย กล่าวว่า “หอการค้าเยอรมัน-ไทยซึ่งมีสมาชิกกว่า 600 คน มีหน้าที่ให้การส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีทางด้านเศรษฐกิจระหว่างเยอรมนีและไทย เราเชื่อว่า เพื่อให้บรรลุถึงความสำเร็จในการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั้น จำเป็นต้องมีการปฏิรูปนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยยังคงสถานะการเป็นผู้นำในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของภูมิภาค การประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาดในวันนี้ หอการค้าเยอรมัน-ไทยพร้อมทั้งบริษัทที่เป็นสมาชิกทั้งหลายยินดีจะเสนอความเชี่ยวชาญและความรู้ทางเทคนิค และพร้อมจะร่วมมือกับรัฐบาลไทยเพื่อสนับสนุนการอภิปรายสาเหตุของมลพิษทางอากาศในประเทศไทย รวมถึงการหาแนวทางปฏิบัติเพื่อบรรเทามลพิษทางอากาศในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานและด้านการขนส่ง โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกิดการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมากขึ้นและสนับสนุนเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ด้านอาคารกับการสนับสนุนอาคารสีเขียว ด้านการผลิตกับการทบทวนมาตรฐานการปล่อยมลพิษสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม และด้านการเกษตร โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการทำเกษตรกรรมแบบถางโค่นและเผาป่าซึ่งเป็นสาเหตุของไฟป่าและนำไปสู่มลภาวะทางอากาศ ซึ่งหอการค้าเยอรมัน-ไทยและบริษัทสมาชิกพร้อมให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ประเทศไทยมีอากาศที่สะอาดและกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศในอนาคต”
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวปิดท้ายการประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาดในครั้งนี้ว่า “การเข้าร่วม “Clean Air Initiative” ในวันนี้ร่วมกับสมาชิกหอการค้าเยอรมัน-ไทยถือว่าสอดคล้องกับพันธกิจและสิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ทำอย่างต่อเนื่องมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการวางเป้าหมายในการเป็นบริษัทที่เป็นกลางทางคาร์บอนในทุกโรงงานผลิตของเราทั่วโลกในปี 2565 เรื่อยไปจนถึงการที่เราริเริ่มโครงการ “Charge to Change” เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนไทย นอกจากนี้เรายังวางเป้าหมายไว้อีกว่าภายในปี 2573 ร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ต้องเป็น xEVs ซึ่งหมายถึงรวมทั้งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า 100% เมอร์เซเดส-เบนซ์ตั้งเป้าหมายเหล่านี้ไว้เพราะเราเชื่อว่า ผู้ประกอบการในภาคการผลิตรถยนต์ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการสร้างสภาวะอากาศที่ดีด้วย ซึ่งในส่วนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ นอกจากการเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า เราได้จัดจำหน่ายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทยไปแล้วกว่า 20,000 คันนับตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน การนำโครงการ “Charge to Change” ของเรามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ “Clean Air Initiative” จะช่วยสร้างความตระหนัก และกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและได้ผล”
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุชัดเจนว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของฝุ่นละออง PM 2.5 นั้นมาจากการเดินทางโดยรถยนต์ และเฉพาะในกรุงเทพฯ เพียงเมืองเดียวก็มีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนอยู่มากกว่า 10 ล้านคัน ปัญหา PM 2.5 จึงยังเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยทุกภาคส่วนต้องหันมาร่วมมือกันแก้ไข โครงการ “Charge to Change” ภายใต้ความร่วมมือ “Clean Air Initiative” ของเมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมสานต่อพันธกิจในการกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทุกยี่ห้อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาชาร์จไฟฟ้าให้มากขึ้น ทำให้ประสบการณ์ในการชาร์จพลังงานไฟฟ้าเป็นประสบการณ์ที่ทั้งสะดวกและเข้าถึงง่ายที่สุด และผสานความร่วมมือกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จ การพัฒนาแอพพลิเคชันทางโทรศัพท์มือถือ และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนารถยนต์อีวีเพิ่มเติมด้วย