Last updated: 4 พ.ย. 2562 | 3111 จำนวนผู้เข้าชม |
เจ้า ‘หมาป่าผู้สวมหนังแกะ’ คันนี้เปิดตัวออกมาครั้งแรกในงาน Geneva International Motor Show 2016 ซึ่งมาพร้อมรูปโฉมที่ดูดุดันในแบบฉบับรถแข่ง พร้อมรูปโฉมที่เหมือนกับ 911 GT3 RS (991) แต่มีน้ำหนักที่เบากว่ามาก โดย 911 R (991) มีน้ำหนักรวมเพียง 1,370 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนความแข็งแกร่งของตัวถังไว้ใจได้ในระดับเดียวกับเรซซิ่งคาร์ สิ่งหนึ่งที่ทำให้รถคันนี้มีเสน่ห์กว่า 911 ในรุ่นอื่นคือความดิบของเครื่องยนต์ N/A และเกียร์แมนนวล 6 สปีด ไร้เงาเกียร์คลัทช์คู่ PDK มายุ่งเกี่ยว แถมมันยังออกมาลงตลาดให้กับนักซิ่งสายฮาร์ดคอร์ได้หาซื้อไปเก็บไว้เพียง 991 คันเท่านั้น
“911 R คันนี้ทุกอย่างต้องไลท์เวทที่สุด โลโก้ยังเป็นสติ๊กเกอร์แทนเพลทเลยละ”
จริงแล้วๆ ทางปอร์เช่นำชื่อ 911 R กลับมาใช้ใหม่ R = Racing หลังจากที่ตัวแรงเจเนอเรชั่นแรก 1967 Porsche 911R ได้ออกมาสร้างชื่อผ่านรายการแข่งขัน Targa Florio รวมทั้งการขับขี่ที่สร้างสถิติโลกอีกมากมาย ซึ่งการนำรถระดับตำนานกลับมาทำใหม่นั้น ทางปอร์เช่ยังให้เกียรติเจ้าของชื่อเดิม โดยเลือกทำให้รถคันนี้ออกมาแบบดิบๆ ผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ ลงไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เหมือนระดับท๊อปในค่าย แต่ก็ได้สมรรถนะที่ไม่เป็นรองใคร พื้นฐานโครงสร้างตัวถังนั้นมาจาก 911 Carrera เสริมด้วยชุดแต่งในส่วน Bumper หน้ารวมถึงด้านหลังในสไตล์เดียวกับ 911 GT3 RS
จุดแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือมัน minimal มากๆ ไม่มีปีกหลังอันใหญ่โต ไม่มีการเจาะช่องดักอากาศที่โป่งหลัง แถมใช้สปอยเลอร์หลังแบบปรับระดับได้แบบเดียวกับ Carrera แต่แตกต่างกว่าด้วยชุดดิฟฟิวเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ใต้ตัวถัง ฝากระโปรงท้ายและสปอยเลอร์หลังผลิตจากวัสดุคาร์บอน และหลังคารถผลิตจากวัสดุแมกนีเซียม ส่งผลให้จุดศูนย์ถ่วงของตัวรถต่ำลง กระจกบังลมและกระจกข้างรถ ประกอบด้วยส่วนผสมของพลาสติกน้ำหนักเบา ลดภาระจากน้ำหนักส่วนเกินด้วยการตัดฉนวนและชุดเบาะหลังออก ส่วนท่อไอเสียก็ใช้งานไทเทเนียมน้ำหนักเบา
ส่วนภายใน Cabin นั้นเน้นการตกแต่งให้เรียบๆ แบบเดียวกับรถในยุค 60 เน้นความคลาสสิคด้วยการนำดีไซน์แบบ Pepita tartan เข้ามาตกแต่งให้กลมกล่อมไปสไตล์ยุคโมเดิร์น เบาะนั่งคู่หน้าทำจากวัสดุคาร์บอนโดยบุผ้าบริเวณกึ่งกลางเบาะ แดชบอร์ดมาแบบเดิมๆ คันนี้จัดอ็อพชั่นประดับด้วยคาร์บอนและมีโลโก้ 911 R โชว์เด่นอยู่ภายใน พวงมาลัย Sport GT “R-specific” ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 360 มิลลิเมตรเต็มอิ่มไปด้วยความสปอร์ต สิ่งที่หลายคนคิดถึงมันกลับมาแล้ว แป้นทั้ง 3 ไม่ว่าจะเป็นคันเร่ง เบรก คลัทช์ มันกลับมาอีกครั้งในสายพันธุ์ฮาร์ดคอร์หลังจากถูกยึดครองพื้นที่จากเกียร์คลัทช์คู่ PDK ส่วนท่านที่หวังความสะดวกสบายในรถคันนี้ เราขอบอกตรงนี้เลยว่า ไม่มีมาให้จากโรงงานทั้งระบบปรับอากาศและระบบอินโฟเทนเมนท์ ถ้าอยากได้คุณต้องสั่งเป็นอ็อพชั่นเสริมเสียตังค์เพิ่มเอาละกัน ซึ่งคัน 911 R คันนี้จัดมาอย่างครบครัน ก็เมืองไทยมันร้อนนะครับ รถก็ติดมันก็ต้องเน้นความสะดวกสบายกันบ้างไม่ว่ากัน นอกจากนี้ก็มีอ็อพชั่นโดนใจ Sport Chrono Package เพิ่มเติมนาฬิกาจับเวลาและโหมด Sport มาให้อัดกันมันส์ขึ้นกว่าเดิม
“ตัวเลขบนเรือนไมล์เป็นสีเขียวที่เป็นซิกเนเจอร์แบบเดียวกับ 911 R ยุค 60s แบบเป๊ะเลย”
เรื่องของฝีเท้านั้นจัดจ้านเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ N/A 6 สูบนอน ขนาดความจุ 4.0 ลิตร ที่ถูกวางไว้ด้านหลัง พละกำลังสูงสุดมากถึง 500 แรงม้า ที่ 8,250 รอบต่อนาที แรงบิดจัดมาให้ถึง 460 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที พร้อมสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 km/h ที่เวลาเพียง 3.8 วินาที สุ้มเสียงที่แผ่ดออกมาก็มันส์สะใจตามสไตล์ ความเร็วสูงสุดที่สามารถอัดไปได้อยู่ที่ 323 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามมาตรฐาน NEDC ที่ 7.5 กิโลเมตรต่อลิตร ด้วยตัวเลขนี้ก็บ่งบอกได้ดีถึงความเป็นธรรมชาติของมันว่านี่คือรถแรงไม่เน้นประหยัด ส่วนงาน Handling พวงมาลัย GT ให้การบังคับเลี้ยวที่เฉียบคมระดับเรซซิ่งคาร์ ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับช่วงล่างที่ได้รับการปรับจูนมานำมันไปออกกำลังกายบน Track เสียมากกว่าวิ่งเยาะๆ อยู่บนท้องถนน ด้วยความเทพของชุดดิฟเฟอเรนเชียล (rear differential lock) ส่งต่อพละกำลังได้ยอดเยี่ยม ซึ่งมาพร้อมล้อช่วยแรงแบบ single mass flywheel เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการถ่ายทอดกำลังไปยังล้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักทดสอบรถต่างประเทศถึงชื่นชมมันนัก ถ้าจะให้เปรียบคู่แข่งที่ใกล้เคียงกันในค่าย เห็นจะเป็น GT3 RS แฝดผู้พี่นี่ละที่มีฝีเท้าจัดจ้านกว่า
เครื่องยนต์และระบบเกียร์ประสานการทำงานอย่างไร้ที่ติ ให้การตัดต่อกำลังที่ราบเรียบ นุ่มนวลแต่ยังคงเปี่ยมด้วยความรวดเร็ว แม่นยำ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่าเกียร์แมนนวล 6 สปีดยังไงก็ชิฟท์เกียร์ได้ไม่เทพเท่าเกียร์คลัทช์คู่ PDK แน่ๆ แต่มันก็แตกต่างกว่าสำหรับนักซิ่งที่นิยมสับเกียร์เอง ซึ่งตรงนี้ใครที่ชอบขับเกียร์แมนนวลก็จะรู้กันว่ามันมันส์กว่ากันเยอะ ส่วนการพิชิตโค้งมั่นใจได้เพราะมีระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง (rear-axle steering), ระบบควบคุมการทรงตัวด้วยอิเล็กทรอนิกส์ Porsche Stability Management (PSM) ส่วนเรื่องของการหยุดรถได้ระบบเบรกเซรามิก Porsche Ceramic Composite Brake (PCCB) ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน จานเบรกคู่หน้าขนาด 410 มิลลิเมตร และจานเบรกคู่หลังขนาด 390 มิลลิเมตร ผสานการทำงานกับยางรถยนต์สมรรถนะสูง ขนาด 245 มิลลิเมตรที่ด้านหน้าและ 305 มิลลิเมตรที่ด้านหลังสัมผัสแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับทุกเส้นทางที่คุณเดินทางไป
เรื่องราคาค่าตัวของรถคันนี้คงไม่ต้องไปพูดถึงด้วยความที่มันเป็นรุ่นพิเศษลิมิเต็ดอิดิชั่นมีเพียง 991 คันเท่านั้น และทั้งหมดขายหมดเกลี้ยงไปเรียบร้อย แค่เรื่องนี้ก็ส่งให้ราคาขายต่อของมันพุ่งทะยานไปเท่าไหร่แล้ว แถมซิกเนเจอร์ที่ปอร์เช่ตั้งใจชุบชีวิต 1967 Porsche 911 R กลับมาในยุคสมัยใหม่ ซึ่งยังคงไว้ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบนอนเดิมๆ ไร้หอยพ่วงอีก.....เราบอกได้เลยว่าอิจๆๆๆ
5 ม.ค. 2565